ต้อกระจกในผู้สูงอายุ ภัยทางสายตาที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้
ต้อกระจกในผู้สูงอายุ คือ ภาวะที่เลนส์ตามีความขุ่นมัวหรือเปลี่ยนสี ส่งผลให้การมองเห็นของผู้ป่วยพร่ามัวและลดลงตามระยะเวลา
โรคต้อกระจก (Cataract) เป็นต้อชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับเลนส์ตา (Lens) เกิดจากโครงสร้างโปรตีนในเลนส์ตาเปลี่ยนไป จนทำให้เลนส์ไม่ใสอย่างที่ควรเป็น เลนส์จะมีลักษณะเป็นไตแข็ง สีขุ่น บริเวณที่ขุ่นอาจจะอยู่ตรงกลางเลนส์ หรือบริเวณขอบเลนส์ก็ได้ ทำให้แสงผ่านเข้าไปจนถึงจอประสาทตาที่อยู่ด้านในได้น้อยลง ทำให้ผู้ป่วยโรคต้อกระจกมีการมองเห็นที่ลดลง บางครั้งก็ทำให้การตกกระทบของแสงเปลี่ยนไปจนค่าสายตาเปลี่ยน อาจมองไกลไม่ชัด หรือทำให้เกิดภาพซ้อนได้ ซึ่งบางทีอาจจะมีอาการใกล้เคียงกับสายตาสั้น
ต้อกระจกจะพบมากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปเพราะเมื่ออายุมากขึ้น ส่วนต่างๆของร่างกายจะเริ่มเสื่อมไปตามวัย หากเลนส์ตาเสื่อมสภาพ จนโครงสร้างทางเคมีของโปรตีนในเลนส์ตาเสื่อม ก็จะเกิดเป็นโรคต้อกระจกขึ้นมานั่นเองหรือเกิดจากโรคบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกี่ยวกับไทรอยด์ หรือโรคอ้วน
อีกสาเหตุหนึ่งที่สามารถพบได้ คือการเป็นต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital cataract) อาจจะเกิดจากการเจริญผิดปกติในครรภ์ โรคทางกรรมพันธุ์ หรือเกิดจากการติดเชื้อบางอย่าง เช่น หัดเยอรมัน หรือไวรัสเริม เป็นต้น
สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดต้อกระจก
นอกจากสาเหตุภายในร่างกายแล้ว ต้อกระจกยังเกิดจากพฤติกรรม หรือภาวะอื่นๆ ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น
โรคต้อกระจกจะแบ่งอาการออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
1. ระยะเริ่มแรก (Early Cataract) ต้อกระจก อาการเริ่มต้นมักจะเริ่มมองภาพไม่ชัด ค่าสายตาเปลี่ยนไป โฟกัสสายตาได้ยาก อาจจะเกิดอาการปวดหัวขึ้น
2. ระยะก่อนต้อสุก (Immature Cataract) ระยะนี้เลนส์ตาจะเริ่มเป็นสีขาวขุ่น ส่วนใหญ่จะเริ่มขุ่นตรงกลางเลนส์ทำให้มีผลต่อการมองเห็นมากกว่าเดิม ผู้ป่วยจะเห็นภาพเป็นฝ้ามัวๆ คล้ายตามัวเหมือนมีหมอก มองเห็นไม่ชัดในที่สว่าง สายตาสั้นมากขึ้น
3. ระยะต้อสุก (Mature Cataract) คือ เลนส์ตาจะเริ่มขุ่นมากขึ้น จากที่ขุ่นแค่ตรงกลาง จะเริ่มขยายออกรอบๆจนขุ่นทั้งเลนส์ เริ่มมีผลกับการมองเห็นมากขึ้นจนใช้ชีวิตประจำวันได้ยาก ขับรถในตอนกลางคืนได้ยาก เป็นขั้นที่ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างยิ่ง เนื่องจากยังอยู่ในระยะที่ผ่าตัดต้อกระจกได้ง่าย
4. ระยะต้อสุกเกิน หรือสุกงอม (Hypermature Cataract) คือ เลนส์ตาขุ่นมากที่สุด เริ่มเป็นก้อนแข็ง ภาพมัวจนมีผลต่อการมองเห็น และการใช้ชีวิตอย่างมาก เป็นระยะที่รักษาได้ยากกว่าระยะต้อสุก และถ้าทิ้งไว้อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน อย่างการอักเสบในดวงตา เลนส์บวมจนเป็นต้อหิน หรือโปรตีนรั่วออกจากแก้วตา เกิดความผิดปกติจนสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า โรคต้อ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีความแตกต่างกันไป แล้วแบบนี้ ต้อกระจกจะมีความแตกต่างจากต้อชนิดอื่นอย่างไรบ้าง?
“ต้อกระจก” เป็นการเสื่อมสภาพของเลนส์ตา ทำให้เลนส์ตาเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสีขาวขุ่น ตามัวเหมือนมีหมอก มองเห็นภาพได้ไม่ชัดเจน วิธีการรักษาจึงมีเพียงการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเท่านั้น แตกต่างจากต้อหินที่มีสาเหตุมาจากการเสื่อมสภาพของขั้วประสาทตา ทำให้ความกว้างของลานสายตาค่อยๆ ลดลงจนสูญเสียการมองเห็นไป
ส่วนต้อลมและต้อเนื้อ มักเกิดจากเยื่อบุตาขาวที่เสื่อมสภาพลง โดยระยะเริ่มแรกจะเป็นต้อลม เกิดก้อนนูนที่บริเวณตาขาว ระคายเคืองตา เมื่อเกิดการอักเสบซ้ำหรือระดับความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้น ต้อลมก็จะกลายเป็นต้อเนื้อ มีลักษณะเนื้อเยื่อที่ยื่นเข้าสู่บริเวณพื้นที่ตาดำ ซึ่งหากเนื้อเยื่อเข้าไปบดบังรูม่านตา ก็จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เป็นต้อเนื้อจะไม่ได้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร เนื่องจากสามารถผ่าตัดลอกต้อออกได้ แต่ก็ยังคงสามารถมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นต้อเนื้อซ้ำอีกได้เช่นกัน
ก่อนที่จะให้แพทย์วินิจฉัย คนไข้สามารถสังเกตและประเมินตัวเองเบื้องต้นได้ว่ามีอาการภาพมัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย ตาเริ่มมีสีขาวขุ่นโดยที่ไม่เจ็บปวดใดๆเลยหรือไม่
หากมีอาการเหล่านี้หรือสงสัยว่ามีอาการคล้ายกับโรคต้อกระจกก็ควรเข้าพบจักษุแพทย์ ถ้ารักษาเร็วจะสามารถช่วยชะลอการเกิดต้อกระจกสุกได้ หรือถ้าเจอในระยะที่เพิ่งเริ่มสุก ก็จะสามารถรักษาได้ง่ายกว่า
ส่วนการตรวจวินิจฉันโดยแพทย์นั้น แพทย์จะซักประวัติและตรวจทดสอบดวงตาหลายอย่าง เช่น วัดค่าสายตา ทดสอบการมองเห็น ทดสอบปฏิกิริยาต่อแสง วัดความดันลูกตา ดูการขยายของรูม่านตา
แพทย์จะตรวจให้แน่ใจว่าคนไข้เป็นต้อกระจกจริงหรือไม่ หรือเป็นโรคอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการตาพร่าได้เช่นเดียวกับโรคต้อกระจก เพื่อให้คนไข้ได้รับการรักษาที่ดีที่สุดต่อไป
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาต้อกระจกโดยไม่ต้องผ่าตัดเลย เพราะยังไม่มียาหยอดตา หรือยารักษาต้อกระจกรูปแบบอื่น ในช่วงแรกจะทำได้เพียงรักษาไปตามอาการ และหลีกเลี่ยงสาเหตุของโรคเพื่อไม่ให้อาการหนักขึ้นเท่านั้น หากอาการแย่ลง ต้อกระจกอยู่ในระยะต้อสุก มีผลต่อการมองเห็นมาก ก็จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
ในระยะนี้แพทย์อาจะแนะนำให้ตัดแว่นเพื่อปรับค่าสายตา หรือใช้เลนส์ตัดแสง เพื่อรักษาไปตามอาการก่อน
การมองเห็นภาพไม่ชัด ไม่ได้มีปัญหากับการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก อาการจะเหมือนผู้ที่สายตาสั้นตามปกติ ตราบใดที่อาการไม่แย่ลงมาก สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา
แพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดต้อกระจกก็ต่อเมื่อคนไข้มองเห็นภาพไม่ชัด จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ หรือต้อกระจกเริ่มเป็นก้อนแข็ง เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ โดยการผ่าต้อกระจกมีทั้งหมด 2 วิธี ต่างกันตามวิธีนำเลนส์ตาเดิมออก คือ
1. การผ่าตัดแบบแผลเปิดกว้าง (Extracapsular Cataract Extraction)
เป็นการผ่าตัดโดยการเปิดปากแผลที่ดวงตา ขนาด 6 - 10 มิลลิเมตร แล้วนำเลนส์ส่วนที่แข็งออกมา จากนั้นแพทย์จะใช้เครื่องมือดูดเนื้อเลนส์ตาที่เหลือออก ก่อนใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไป วิธีนี้เป็นการรักษาแบบเก่าที่ได้ผลดี ใช้รักษาต้อกระจกระยะสุกหรือสุกเกิน แต่มีข้อเสียคือแผลค่อนข้างกว้าง ใช้เวลาผ่าตัดและพักฟื้นนาน
2. การผ่าตัดด้วยการสลายต้อกระจก (Phacoemulsification)
Phaco เป็นการรักษาต้อกระจกโดยใช้เครื่องมือเข้าไปสลายต้อที่เลนส์ตา ด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) แพทย์จะเปิดแผลขนาดเล็กเพียง 3 มิลลิเมตรเท่านั้น ใช้เวลาผ่าตัดเพียง 30 - 60 นาที
การผ่าตัดต้อกระจกด้วยวิธีนี้จะไม่ทิ้งรอย ไม่ต้องตัดไหม สามารถกลับบ้านได้เลยหลังผ่าตัด พักฟื้นเพียง 1 อาทิตย์ ก็สามารถใช้ชีวิตได้เกือบปกติ
ข้อดีอีกอย่างของการผ่าตัดต้อกระจกแบบนี้ คือเลนส์เทียมที่ใส่เข้าไปแทนเลนส์ตาเดิม เป็นเลนส์แบบพับที่สามารถแก้ไขค่าสายตายาวและเอียงได้ สามารถเลือกระยะเลนส์ให้เหมาะกับการใช้งานได้ เป็นการแก้ไขค่าสายตาพร้อมกับการรักษาต้อกระจกในคราวเดียว โดยเลนส์เทียมที่ใช้ร่วมกับการผ่าตัดต้อกระจกด้วยการสลายต้อ เป็นเลนส์พับที่สามารถแก้ไขค่าสายตายาว และสายตาเอียงได้ โดยไม่ต้องทำเลสิค
โดยราคาของเลนส์เทียมแต่ละชนิด สามารถดูได้จากในบทความนี้ : ผ่าตัดต้อกระจกด้วยวิธีการสมัยใหม่ที่ได้ผลลัพธ์อย่างชัดเจน
แต่การผ่าตัดต้อกระจกด้วยการสลายต้อ สามารถรักษาได้แค่ต้อกระจกในระยะแรกๆเท่านั้น หากเป็นหนัก ต้อสุกมาก หรือแข็งเกินไป คลื่นเสียงจะไม่สามารถสลายต้อได้หมด ทำให้รักษาด้วยวิธีนี้ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะต้องผ่าตัดด้วยวิธีใดก็ตาม ก่อนการผ่าตัดแพทย์จะมีการประเมินดวงตาในหลายๆด้านก่อน เพื่อการผ่าตัดรักษาที่แม่นยำ
การรักษาต้อกระจกตั้งแต่ระยะเริ่มแรกมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องรอต้อสุก สามารถรักษาได้ทันทีด้วยวิธีสลายต้อกระจก ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยและมีผลลัพธ์ที่ดีกว่าซึ่งหากเป็นหนัก ต้อสุกมาก หรือแข็งเกินไป คลื่นเสียงจะไม่สามารถสลายต้อได้หมด โดยไม่ว่าจะต้องผ่าตัดด้วยวิธีใดก็ตาม ก่อนการผ่าตัดแพทย์จะมีการประเมินดวงตาในหลายๆด้านก่อน เพื่อการผ่าตัดรักษาที่แม่นยำ
อย่างที่ทราบกันว่าโรคต้อกระจกยังไม่มียารักษา ทางรักษาเดียวคือการผ่าตัดเท่านั้น หากไม่อยากผ่าตัด ก็ควรป้องกันไม่ให้เกิดต้อกระจกด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้
ตาเป็นอวัยวะที่บอบบาง หากเกิดความผิดปกติขึ้นควรรีบรักษาโดยเร็วที่สุด การเลือกสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุดโรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ เราดูแลคนไข้เหมือนเป็นเพื่อนบ้านของเรา ทำให้การหาหมอพบแพทย์เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งทางโรงพยาบาลยังมีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหลายท่าน สภาพแวดล้อมดี สะอาด ปลอดภัย เครื่องมือได้มาตรฐาน พร้อมเทคโนโลยีการรักษาได้คุณภาพ
แนะนำวิธีการเลือกสถานพยาบาลในการผ่าตัดต้อกระจก
• เทคโนโลยีทันสมัย: โรงพยาบาลของเรามีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการผ่าตัดต้อกระจก ทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำและปลอดภัย
• ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: นำโดย นพ.ธนพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ มีประสบการณ์มากมายในการผ่าตัดต้อกระจก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะซับซ้อน
• การดูแลที่อบอุ่น: เราดูแลคนไข้เหมือนเป็นเพื่อนบ้าน ให้ความสะดวกสบายและความมั่นใจในการรับบริการ
ต้อกระจกส่วนใหญ่เกิดจากอายุที่มากขึ้นทำให้เลนส์ตาเสื่อมสภาพ อาการของโรคทำให้ผู้ป่วยมองภาพไม่ชัด เห็นภาพซ้อน สามารถรักษาได้ด้วยการใส่แว่นตามค่าสายตา แต่ถ้าอาการหนักขึ้น การมองเห็นน้อยลง สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดต้อกระจก
หากรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ ผู้เข้ารับการรักษาสามารถเลือกเลนส์ เพื่อแก้ไขปัญหาสายตายาว และสายตาเอียงพร้อมกับการผ่าตัดต้อกระจกได้ในครั้งเดียว อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาคอยดูแลคุณตลอดกระบวนการรักษา ให้คุณอุ่นใจได้เหมือนมีคุณหมอเป็นเพื่อนบ้าน สนใจการผผ่าตัดต้อกระจกราคาพิเศษ สามารถติดต่อที่ Line: @samitivejchinatown หรือเบอร์ 02-118-7893 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ข้อมูลแพทย์ผู้รีวิวบทความ
นพ.ธนพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในระดับสูง สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์และได้รับการฝึกอบรมในต่างประเทศ รวมถึงมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก นพ.ธนพงษ์มีประสบการณ์มากมายในการผ่าตัดและการรักษาต้อกระจก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะซับซ้อน ท่านเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ในการดูแลรักษาและผ่าตัดต้อกระจก
เอกสารอ้างอิง
Boughton, B. (2009, April). Phaco and ECCE. American Academy of Ophthalmology. https://www.aao.org/eyenet/article/phaco-ecce
Moorfields Eye Hospital NSH Foundation Trust. (2020). Cataract. NSH.
National Institutes of Health. (2020). Cataract, What you should know. NIH
เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ แสดงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเว็บไซต์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)