บทความสุขภาพ

ต้อกระจกในผู้สูงอายุ ภัยทางสายตาที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้

บทความโดย: seoteam seoteam วันที่อัพเดท: 26 ตุลาคม 2567

ต้อกระจกในผู้สูงอายุ

เมื่ออายุมากขึ้น การมองเห็นเริ่มแย่ลง สาเหตุอาจไม่ได้เกิดดวงตาเสื่อมสภาพตามวัย แต่อาจเกิดจาก "โรคต้อกระจก" หรือภาวะที่เลนส์ตาเริ่มขุ่นมัวและทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างต่อเนื่อง หากปล่อยไว้อย่างไร้การดูแล อาการจะรุนแรงมากขึ้นจนทำให้ดวงตาบอดสนิทได้

การเข้าใจถึงสาเหตุและอาการของต้อกระจก รวมถึงวิธีการรักษาที่ตรงจุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับต้อกระจกในผู้สูงอายุให้มากขึ้น เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมรับมือและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างถูกวิธี


สารบัญบทความ


ต้อกระจก (Cataract) คืออะไร?

โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ

ต้อกระจก (Cataract) หรือต้อกระจกในผู้สูงอายุ คือ โรคเกี่ยวกับตาที่ภาวะเลนส์ตาของเรามีการขุ่นมัวหรือเปลี่ยนสี ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้การมองเห็นของผู้ป่วยพร่ามัวและลดลงตามระยะเวลา โดยทั่วไปแล้ว ต้อกระจกมักเกิดขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากเลนส์ตาจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น

ปกติแล้ว เลนส์ตาของเราจะมีความใส ช่วยให้แสงผ่านไปยังจอประสาทตาได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อตาเป็นต้อ เลนส์ตาจะค่อย ๆ ขุ่นขึ้น ทำให้ผู้ป่วยต้อกระจก ภาพที่เห็นจะเป็นแสงกระจายและเกิดความพร่ามัวในสายตา บางรายอาจรู้สึกว่าการมองเห็นในที่สว่างจ้าหรือแสงน้อยเป็นปัญหามากขึ้น รวมถึงอาจมองเห็นภาพเป็นคลื่นได้


ลักษณะและปัจจัยในการเกิดต้อกระจก

ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ตามีความขุ่นมัว ทำให้การมองเห็นพร่ามัว เห็นแสงกระจาย หรือมองเห็นเป็นภาพซ้อน ซึ่งปัจจัยการเกิดต้อกระจกสามารถสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงพันธุกรรมและช่วงอายุที่แตกต่างกันได้ ดังนี้

ต้อกระจกจากพันธุกรรม

ต้อกระจกจากพันธุกรรม เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการกลายพันธุ์ของยีนที่ควบคุมการสร้างโปรตีนในเลนส์ตา ทำให้เลนส์ตาเจริญเติบโตผิดปกติและมีความขุ่นมัวตั้งแต่แรกเกิด หรืออาจพัฒนาขึ้นในช่วงวัยเด็ก

ต้อกระจกจากพันธุกรรมอาจเกิดขึ้นร่วมกับโรคอื่น ๆ ทางพันธุกรรมได้ เช่น โรคดาวน์ซินโดรม โดยการรักษาต้อกระจกจากพันธุกรรมนั้นจะต้องอาศัยการผ่าตัดต้อกระจกเพื่อเปลี่ยนเลนส์ตาที่ขุ่นมัวออกไป และใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทนที่ ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้ชัดเจนขึ้น

ต้อกระจกในวัยเด็ก

ต้อกระจกในวัยเด็ก อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรกเกิดหรือช่วงวัยเด็ก ทำให้แสงสว่างผ่านเข้าไปในตาได้ไม่ชัดเจน ส่งผลให้เด็กมองเห็นไม่ชัดหรืออาจมองไม่เห็นเลยในบางกรณี

การเกิดต้อกระจกในเด็กมักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม การติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ หรืออุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ตา หากปล่อยต้อกระจกไว้นานและไม่ได้รับการรักษา ก็อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสายตาของเด็กอย่างถาวร และอาจทำให้เด็กสูญเสียการมองเห็นไปตลอดชีวิตได้

ต้อกระจกในผู้สูงอายุ

ต้อกระจกในผู้สูงอายุเป็นภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเกิดขึ้นจากการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติของเลนส์ตาเมื่ออายุมากขึ้น มักพบในผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยภาวะนี้จะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและโครงสร้างของโปรตีนในเลนส์ตา ทำให้เลนส์ไม่สามารถทำหน้าที่ในการโฟกัสแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเกิดต้อในตาจะส่งผลให้การมองเห็นของผู้สูงอายุเริ่มพร่ามัว มองเห็นในที่แสงจ้าได้ยาก รวมถึงอาจมีอาการเห็นแสงสะท้อนหรือเงาในสายตาได้

ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับต้อกระจกในผู้สูงอายุประกอบด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และการสัมผัสกับแสงแดดโดยไม่มีการป้องกัน นอกจากนี้ การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปก็เป็นปัจจัยที่อาจเร่งให้เกิดต้อกระจกได้เช่นกัน


สาเหตุของการเกิดต้อกระจก

ต้อกระจกเกิดจากอะไร

ต้อกระจกเกิดจากอะไร? สาเหตุของการเกิดต้อกระจกนั้นมีหลากหลายปัจจัย การเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดต้อกระจกจะช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดต้อกระจก มีดังนี้

  • การเสื่อมสภาพตามอายุ: เมื่ออายุมากขึ้น โปรตีนในเลนส์ตาจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เลนส์ขุ่นมัวขึ้น โดยภาวะนี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ
  • โรคประจำตัว: โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเลนส์ตาและทำให้เกิดต้อกระจกได้ นอกจากนี้ โรคความดันโลหิตสูงยังมีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะนี้ด้วย เนื่องจากมีผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดและการทำงานของหลอดเลือดในร่างกาย รวมถึงดวงตา
  • การสัมผัสกับแสงแดด: รังสี UV จากแสงแดดสามารถทำลายโปรตีนในเลนส์ตาได้หากไม่มีการป้องกัน เช่น การใส่แว่นกันแดด ก็จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้
  • การสูบบุหรี่: สารเคมีในบุหรี่ เช่น นิโคติน และสารพิษอื่น ๆ มีฤทธิ์ทำลายเซลล์ในร่างกายและส่งผลเสียต่อสุขภาพดวงตา การสูบบุหรี่เป็นประจำจึงทำให้เกิดต้อกระจกและโรคเกี่ยวกับตาอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น
  • การใช้ยาสเตียรอยด์: การใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาว เช่น การรักษาโรคภูมิแพ้หรือโรคอักเสบ อาจทำให้เกิดการขุ่นมัวของเลนส์ตาและพัฒนาไปเป็นต้อกระจกได้
  • ประวัติครอบครัว: หากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นต้อกระจก ผู้สืบทอดรุ่นต่อไปก็จะมีแนวโน้มเป็นต้อกระจกได้สูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากมีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง

ลักษณะอาการของต้อกระจกในผู้สูงอายุ

ต้อกระจกในผู้สูงอายุ อาการ

ต้อกระจกในผู้สูงอายุ อาการเป็นอย่างไร? ต้อกระจกมีกี่ระยะ? ต้อกระจก อันตรายไหม? คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นข้อสงสัยที่ลูกหลานของผู้สูงอายุหลายคนกังวล โดยทั่วไปแล้ว ต้อกระจกจะเกิดขึ้นช้า ๆ และค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาการของต้อกระจกในผู้สูงอายุแต่ละระยะจะแตกต่างกันไป ดังนี้

ระยะที่ 1

ต้อกระจกในผู้สูงอายุระยะที่ 1 หรือระยะเริ่มต้น มักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยในระยะนี้อาจไม่ทันสังเกตว่ามีปัญหาในการมองเห็น แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ผู้ป่วยอาจเริ่มรู้สึกว่าการมองเห็นพร่ามัวเป็นบางครั้ง หรือเห็นภาพและวัตถุต่าง ๆ เบลอเล็กน้อย

อีกหนึ่งสัญญาณของต้อกระจกอาการเริ่มต้นที่พบบ่อย คือ การมองเห็นแสงสะท้อนจากแหล่งแสงที่สว่าง เช่น แสงจากดวงไฟหรือดวงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้เห็นแสงแวววาวหรือมีรัศมีรอบ ๆ แหล่งแสงเหล่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตาในบางสถานการณ์ เช่น ระหว่างขับรถตอนกลางคืนหรือเมื่อต้องมองแสงจากหน้าจอโทรศัพท์ในที่มืด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตาต้องปรับตัวเข้ากับแสงที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ระยะที่ 2

ต้อกระจกในผู้สูงอายุระยะที่ 2 หรือระยะกลาง อาการจะเริ่มแสดงออกชัดเจนมากขึ้น โดยผู้ป่วยมักประสบปัญหาการมองเห็นในสภาวะแสงน้อย เช่น การขับรถตอนกลางคืนที่อาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ เพราะแสงจากรถที่สวนมาอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองตาและมองเห็นได้ไม่ชัดเจน นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจพบกับปัญหาในการอ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์ด้วย ซึ่งทำให้ต้องเพิ่มแสงสว่างมากขึ้นขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจน

ระยะที่ 3

โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุระยะที่ 3 หรือระยะรุนแรง เมื่อเข้าสู่ระยะนี้ เลนส์ตาจะขุ่นมัวอย่างชัดเจน ส่งผลให้การมองเห็นลดลงอย่างมาก ผู้ป่วยในระยะนี้จึงอาจจะไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ เช่น ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ รวมถึงการทำกิจกรรมประจำวันก็กลายเป็นเรื่องยากลำบาก เช่น การมองเห็นใบหน้าในระยะใกล้ และการอ่านป้ายหรือการแยกแยะวัตถุต่าง ๆ ที่อยู่ในระยะใกล้หรือไกล

ระยะที่ 4

โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุระยะที่ 4 หรือระยะสุดท้าย การมองเห็นในระยะนี้อาจลดลงจนถึงจุดที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การทำกิจกรรมพื้นฐานต่าง ๆ เช่น การเดินทาง การทำอาหาร หรือแม้กระทั่งการดูแลตัวเองก็กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากลำบากหรือทำไม่ได้เลย ผู้ป่วยจึงต้องพึ่งพาผู้อื่นในการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต

นอกจากนี้ การมองเห็นที่ไม่ชัดเจนยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย เช่น การลื่นล้ม เดินชนสิ่งของ หรือประสบอุบัติเหตุในที่สาธารณะ ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกวิตกกังวลและขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน การเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูการมองเห็นและคุณภาพชีวิต


วิธีการรักษาต้อกระจกในผู้สูงอายุ

ต้อกระจกในผู้สูงอายุ รักษาอย่างไร? ปัจจุบันการรักษาต้อกระจกในผู้สูงอายุสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและความพร้อมของผู้ป่วยในการเข้ารับการรักษา โดยวิธีรักษาต้อกระจกในผู้สูงอายุ มีดังนี้

เครื่องสลายต้อกระจก

การใช้เครื่องสลายต้อกระจก หรือที่เรียกว่า Phacoemulsification เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในการผ่าตัดต้อกระจก โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการสลายเลนส์ตาที่ขุ่นมัวออกแล้วจึงใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทนที่ 

วิธีนี้เป็นวิธีการรักษาต้อกระจกที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง ให้ผลลัพธ์ที่ดี และใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาต้อกระจกตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและต้องการฟื้นฟูการมองเห็นให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

ผ่าตัดลอกต้อกระจก

การผ่าตัดลอกต้อกระจก (Cataract surgery) คือ กระบวนการทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาต้อกระจกในผู้สูงอายุ โดยแพทย์จะทำการนำเลนส์ตาที่ขุ่นมัวออกและแทนที่ด้วยเลนส์เทียมใส เพื่อฟื้นฟูการมองเห็นของผู้ป่วย ซึ่งการผ่าตัดลอกต้อกระจกผู้สูงอายุสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

  • การผ่าตัดลอกกระจกตา (ICCE) :  การผ่าตัดแบบ Intracapsular Cataract Extraction (ICCE) เป็นวิธีการรักษาต้อกระจกที่แพทย์จะลอกเลนส์ตาขุ่นมัวและฝาครอบออกมาในครั้งเดียว โดยวิธีนี้มักจะใช้ในกรณีที่มีต้อกระจกขนาดใหญ่หรือรุนแรง ซึ่งทำการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ การผ่าตัด ICCE มักจะมีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้เครื่องสลายต้อกระจก และอาจใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดเกี่ยวกับความเหมาะสมและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจผ่าตัด
  • การผ่าตัดแบบแผลใหญ่ (ECCE) : การผ่าตัดแบบ Extracapsular Cataract Extraction (ECCE) เป็นวิธีการรักษาต้อกระจกที่แพทย์จะทำการเปิดช่องตาเพื่อนำเลนส์ที่ขุ่นมัวออกในชิ้นใหญ่ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีต้อกระจกซับซ้อนหรือใหญ่เกินไปกว่าที่จะรักษาด้วยเครื่องสลายต้อกระจก โดยหลังจากผ่าตัดจะมีการใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทนที่เลนส์ที่ขุ่น ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพ แต่การฟื้นตัวอาจใช้เวลานาน และผู้ป่วยจะต้องดูแลตัวเองอย่างมากในช่วงหลังจากผ่าตัด เพื่อให้กลับมามองเห็นได้ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง

วิธีการดูแลตัวเองก่อนและหลังผ่าตัดต้อกระจกในผู้สูงอายุ

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดต้อกระจก

  • ปรึกษาแพทย์: ผู้ป่วยต้อกระจกในผู้สูงอายุควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินสภาพตาและหารือเกี่ยวกับวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสมก่อน
  • ตรวจสุขภาพ: แพทย์จะทำการตรวจสุขภาพทั่วไป รวมถึงซักประวัติการแพ้ยา ประวัติการใช้ยา และโรคประจำตัวที่อาจมีผลต่อการผ่าตัด
  • ทดสอบการมองเห็น: ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการตรวจตาต้อกระจกผู้สูงอายุด้วยการวัดการมองเห็นอย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบระดับการมองเห็นและความรุนแรงของต้อกระจก
  • งดอาหารและน้ำ: ก่อนการผ่าตัดต้อกระจกในผู้สูงอายุจะต้องงดอาหารและน้ำประมาณ 6-8 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอาเจียนหรือท้องอืดระหว่างการผ่าตัด
  • งดแต่งหน้า: ในวันผ่าตัดควรงดการแต่งหน้า พร้อมกับควรทำความสะอาดใบหน้าและรอบดวงตาให้เรียบร้อย
  • ทำความสะอาดร่างกายให้พร้อม: ผู้ป่วยต้อกระจกในผู้สูงอายุควรอาบน้ำให้สะอาด สระผม และตัดเล็บให้เรียบร้อยก่อนการผ่าตัดต้อกระจก

การดูแลหลังผ่าตัดต้อกระจก

  • หยอดยาตามที่แพทย์สั่ง: ผู้ป่วยจะต้องใช้ยาหยอดตาตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดการอักเสบ บางรายอาจมีการให้ยาหยอดตาที่เป็นยาต้านการอักเสบและยาปฏิชีวนะ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา: การขยี้ตาอาจทำให้แผลฉีกขาดหรือติดเชื้อได้
  • หลีกเลี่ยงการก้มหน้า: การก้มหน้าแรง ๆ อาจทำให้แรงดันในลูกตาเพิ่มขึ้น และส่งผลต่อแผลผ่าตัด
  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก: การยกของหนักอาจทำให้ความดันในลูกตาเพิ่มขึ้นได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำ: หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำหรืออย่าให้น้ำเข้าตาในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด
  • สวมแว่นตากันแดด: หลังการผ่าตัดต้อกระจกควรสวมแว่นตากันแดดเพื่อป้องกันแสงแดดที่อาจรบกวนดวงตา
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: หลังการผ่าตัดต้อกระจกควรพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก: เช่น การออกกำลังกายหนัก การเล่นกีฬา หรือการทำสวน
  • กลับมาพบแพทย์ตามนัด: หลังผ่าตัดต้อกระจกในผู้สูงอายุควรกลับมาพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อติดตามผลการผ่าตัดและตรวจสอบความเรียบร้อยของแผล

วิธีการป้องกันโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ

การป้องกันโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการเกิดโรคได้ โดยวิธีการป้องกันต้อกระจกในผู้สูงอายุสามารถทำได้ ดังนี้

  • ตรวจตาเป็นประจำ: การตรวจตาเป็นประจำทุกปี จะช่วยให้พบโรคต้อกระจกได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและสามารถรักษาได้ทัน
  • สวมแว่นกันแดด: แสงแดดเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเกิดต้อกระจก การสวมแว่นกันแดดที่มีคุณภาพดี จะช่วยป้องกันดวงตาจากรังสี UV ได้
  • เลิกสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่จะทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงดวงตาไม่เพียงพอและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดต้อกระจกได้สูงกว่าคนทั่วไป การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงได้
  • ควบคุมความดันโลหิต: ความดันโลหิตสูงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุได้ การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยลดความเสี่ยงได้
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี เช่น ผักใบเขียว, ผลไม้สีเหลืองส้ม และปลา เพื่อช่วยบำรุงสายตาและชะลอการเสื่อมของเลนส์ตา
  • พักสายตาเป็นระยะ: หากต้องทำงานที่ต้องใช้สายตาเป็นเวลานาน ควรพักสายตาเป็นระยะ ๆ
  • หลีกเลี่ยงการใช้สายตาในที่แสงน้อย: การอ่านหนังสือในที่แสงน้อยหรือการใช้คอมพิวเตอร์ในที่มืด จะทำให้สายตาล้าและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุได้

ต้อกระจกในผู้สูงอายุ รู้ตัวไว รักษาหายได้

ต้อกระจกในผู้สูงอายุ รักษา

ต้อกระจกในผู้สูงอายุ เป็นปัญหาทางสายตาที่ส่งผลให้การมองเห็นลดลงหรือพร่ามัว ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการขุ่นมัวของเลนส์ตา โดยปัจจุบันมีวิธีการรักษามากมาย เช่น การใช้เครื่องสลายต้อกระจกและการผ่าตัดลอกต้อกระจก ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินการรักษาและรับการรักษาในวิธีที่เหมาะสม

ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ เราพร้อมให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ ดูแลโดยจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีรักษาโรคต้อกระจกที่ทันสมัย ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด หากสนใจผ่าตัดต้อกระจก ราคาพิเศษ สามารถติดต่อได้ที่ Line : @samitivejchinatown หรือเบอร์ 02-118-7893 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


References

American Academy of Ophthalmology. (2024, October 9). What Are Cataracts?. https://www.aao.org/eye-health/diseases/what-are-cataracts

Cleveland Clinic. (2023, July 7). Cataracts (Age-Related). https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/8589-cataracts-age-related

WebMD. (2023, August 28). What to Expect With Cataract Surgery. https://www.webmd.com/eye-health/cataracts/ss/slideshow-cataract-surgery-expect

บทความและสุขภาพอื่นที่น่าสนใจ
pdpa-icon

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ แสดงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเว็บไซต์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว​ (Privacy Policy)​