บทความสุขภาพ

ทำไมต้องตรวจสุขภาพประจำปี อายุเท่าไหร่ควรตรวจอะไรบ้าง?

บทความโดย: วันที่อัพเดท: 26 มีนาคม 2567

ตรวจสุขภาพประจำปี

จากสถิติในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเผยว่า มีคนไทยเพียง 2% เท่านั้นที่ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และมีคนถึง 59% ที่คิดว่าตนเองมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพประจำปี  แต่ว่าหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพดีอย่างการกินอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างที่เคยบอกต่อๆกันมาอาจไม่พอ  

เราอาจคิดว่าเรามีไลฟ์สไตล์ที่ดี ดูแลสุขภาพอย่างดี แต่โรคต่างๆ อาจจะกำลังเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้แสดงอาการหรือบอกให้เรารู้ ส่วนผู้ที่มีพฤติกรรมที่ทำให้สุขภาพแย่ลง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ นอนดึก ไม่ชอบออกกำลังกาย มีภาวะน้ำหนักเกิน ชอบอาหารรสจัด ชอบอาหารปิ้งย่างหรือทอด ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจได้

การตรวจสุขภาพประจำปีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพ สามารถตรวจได้ทุกช่วงวัยโดยมีรายละเอียดการตรวจที่แตกต่างกัน
 


สารบัญบทความ
 

  


ตรวจสุขภาพประจำปี​

การตรวจสุขภาพประจำปี คือ การตรวจระบบการทำงานของอวัยวะและตรวจระดับสารต่างๆ ภายในร่างกาย เพื่อค้นหาความเสี่ยงหรือความผิดปกติที่ก่อให้เกิดโรคในระยะเริ่มต้น ส่งผลให้ผู้ที่เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีสามารถป้องกันระดับความรุนแรงของโรคและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที

ด้วยเหตุนี้ จึงมีโปรแกรมการตรวจสุขภาพที่รวบรวมการตรวจต่างๆที่สำคัญ ได้แก่ การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจระดับไขมันในเลือด ตรวจการทำงานของตับ ไต ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เป็นต้น   

 


ตรวจสุขภาพประจำปี มีความสำคัญอย่างไร​

“การตรวจสุขภาพประจำปี” นอกจากจะเป็นพื้นฐานการดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอแล้ว ยังเป็นการวางแผนครอบครัวอีกด้วย เช่น หากเรามีโรคที่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรมที่อาจส่งต่อให้ลูกหลานเรา เราจะได้วางแผนในกรณีที่สุขภาพกระทบไปถึงสมาชิกในครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ว่าเราอาจจะมีไลฟ์สไตล์ที่ดีและออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาจมีปัจจัยภายนอกอื่นๆที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยที่เราไม่รู้ตัวได้ เช่น ฝุ่น PM 2.5 ควันพิษจากท่อไอเสีย สารเคมีและสารก่อมะเร็งที่ตกค้างในผักและผลไม้ หรือโรคระบาดอย่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่หรือโรคโควิด-19

รวมถึงปัจจัยภายในอย่างโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพฤติกรรมของบุคคล เช่น การออกกำลังกายน้อยลง การทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากขึ้น การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น มีความเครียดสะสมมากขึ้น พักผ่อนน้อย ปัจจัยทั้งภายนอกและภายในเหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพได้

การดูแลตัวเองที่มีประสิทธิภาพและสามารถป้องกันการเกิดโรค คือ การตรวจสุขภาพประจำปีนั่นเอง
 

ทำไมต้องตรวจสุขภาพประจำปี ? 


หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเราต้องตรวจสุขภาพประจำปีด้วย? นานๆ ตรวจทีไม่ได้หรอ? เหตุผลหลักที่คุณควรตรวจสุขภาพประจำปี มีดังนี้ 
 

  • เพื่อป้องกันหรือรักษาโรค โรคบางโรคไม่แสดงอาการเจ็บป่วยที่เห็นได้ชัด การตรวจสุขภาพสามารถค้นหาโรคเหล่านั้นเพื่อบรรเทาหรือรักษาให้ได้ทันท่วงที
  • เพื่อให้เราสังเกตตัวเองเสมอ บางทีเราอาจมีไลฟ์สไตล์หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น รับประทานอาหารรสจัดมากขึ้น ออกกำลังกายน้อยลง ฯลฯ การตรวจสุขภาพสามารถทำให้เห็นร่างกายของเราในแต่ละช่วงเวลาได้ และทำให้เราไม่ลืมที่จะดูแลตัวเองอยู่เสมอ
  • เพื่อวางแผนสุขภาพของคนในครอบครัว หากมีโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมอยู่ สมาชิกในครอบครัวจะได้ดูแลสุขภาพของตัวเองเพื่อบรรเทาหรือรักษาให้โรคต่างๆดีขึ้นได้

  


ควรตรวจสุขภาพตอนอายุเท่าไหร่

ตรวจสุขภาพประจําปี ตรวจอะไรบ้าง

ถึงแม้ว่าเราจะเข้าใจถึงความสำคัญของการตรวจสุขภาพประจำปีแล้ว แต่ก็ยังคงมีประเด็นคำถามที่ว่า “แล้วเราควรตรวจสุขภาพตอนอายุเท่าไหร่?”

แท้ที่จริงแล้ว การตรวจสุขภาพครั้งแรกสามารถทำได้ตั้งแต่วัยแรกเกิดเป็นต้นไป เพราะหากสามารถตรวจได้ตั้งแต่เด็กๆ จะทำให้เช็คเรื่องพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ พฤติกรรมเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตได้

นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพของแต่ละช่วงวัย ก็จะมีจุดที่ต้องให้ความสำคัญแตกต่างกัน โดยช่วงอายุที่ควรเข้ารับการตรวจมากที่สุด คือ ช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่เริ่มพบความเสื่อมสภาพของร่างกาย ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นเริ่มน้อยลง ส่งผลให้โรคหรือสภาวะต่างๆ มีโอกาสเกิดได้ง่ายแบบไม่รู้ตัว

บ่อยครั้งมักจะแสดงอาการตอนช่วงวัยสูงอายุ ซึ่งอาการเหล่านี้มักอยู่ในช่วงระยะกลางถึงระยะท้ายๆของโรคแล้ว ทำให้มีความยากลำบากในการรักษา และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนมาก หากเราตรวจสุขภาพ รู้แนวโน้มของการเกิดโรค หรือตรวจเจอตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะทำให้เข้ารับการรักษาได้เร็วยิ่งขึ้น 

 


การตรวจสุขภาพประจำปี ต้องตรวจอะไรบ้าง

“การตรวจสุขภาพประจำปี ต้องตรวจอะไรบ้าง?” อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น แต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างกัน ทั้งเรื่องสภาวะหรือโรคที่มักพบบ่อยในแต่ละช่วงวัย ความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ความเสื่อมสภาพของร่างกาย ฯลฯ ทำให้ต้องมีการกำหนดเกณฑ์ตามช่วงอายุ เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับการตรวจที่เหมาะสมกับช่วงวัยของตนเอง

การตรวจสุขภาพสามารถตรวจได้ตั้งแต่วัยแรกเกิด เมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจด้วยโปรแกรมตรวจสุขภาพอายุ 50 ปีขึ้นไป เพื่อเช็คร่างกายอย่างละเอียด ป้องกันการเกิดโรคร้าย ลดระดับความรุนแรงของโรค และจะได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งการตรวจแต่ละช่วงอายุมีรายละเอียดดังนี้
 

ตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับช่วงอายุต่ำกว่า 30 ปี

การตรวจสุขภาพสามารถตรวจได้ทุกช่วงอายุโดยแต่ละช่วงอายุจะมีความละเอียดต่างกัน ทุกคนควรเข้ารับการตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบุคคลที่อายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประวัติการเจ็บป่วยของแต่ละบุคคลด้วย โดยทั่วไปมักจะตรวจเบื้องต้น อย่างการซักประวัติทางสุขภาพ ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด และอื่นๆ เพื่อประเมินสภาพร่างกายโดยทั่วไป

สำหรับการตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับช่วงอายุต่ำกว่า 30 ปีนั้นมักจะเป็นการตรวจทั่วไป สามารถดูรายละเอียดได้ในตารางด้านล่าง
 

ตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับอายุ 30 ปีขึ้นไป

“อายุ 30 ควรตรวจสุขภาพอะไรบ้าง?” การตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 30 ปีขึ้นไปจะมีความละเอียดมากขึ้นเนื่องจากเป็นวัยที่มีแนวโน้มในเรื่องของพฤติกรรมเสี่ยงค่อนข้างมากในด้านการทำงาน อาจมีปัจจัยทางด้านความเครียดที่เพิ่มขึ้น จึงควรตรวจสุขภาพให้เป็นประจำทุกปี โดยการตรวจสุขภาพในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไปจะมีความละเอียดมากขึ้นด้วย นอกจากการประเมินสภาพร่างกายโดยทั่วไปแล้วอาจมีการตรวจที่เพิ่มขึ้นเพื่อเจาะจงอาการเจ็บป่วยที่อาจเกิดได้ตามช่วงอายุ สามารถดูรายละเอียดได้ในตารางด้านล่าง

คนแต่ละช่วงวัยจะมีโปรแกรมตรวจที่แตกต่างกันเพื่อให้ครอบคลุมโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ตามอายุ โดยมีตัวอย่างตามช่วงวัยดังนี้ 
 

การตรวจที่แนะนำ
ต่ำกว่า 30 ปี 30-39 ปี 40-49 ปี 50-59 ปี 60 ปีขึ้นไป
การซักประวัติทางสุขภาพ สอบถามประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว ประวัติการใช้ยา
การตรวจเบื้องต้น เช่น การตรวจความดันโลหิต ตรวจหาดัชนีมวลกาย
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) ได้แก่ เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด เพื่อหาความผิดปกติของของเลือด เช่น ภาวะโลหิตจาง ภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมถึงโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (FPG) และน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) เพื่อประเมินความเสี่ยง และคัดกรองโรคเบาหวาน
ตรวจระดับไขมันในเลือด เพื่อดูระดับคอเลสเตอรอล คอเลสเตอรอลชนิดดี คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี และไตรกลีเซอไรด์ เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง
ตรวจระดับกรดยูริก เพื่อประเมินความเสี่ยงโรคเก๊าท์
ตรวจการทำงานของไต เช่น ครีเอตินิน (creatinine) ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดขึ้นจากกล้ามเนื้อ และ ค่า BUN (Blood Urea Nitrogen) ซึ่งเป็นของเสียจากการย่อยสลายโปรตีน ทั้งสองตัวนี้ช่วยเพื่อประเมินความสามารถในการขับของเสียของไต
ตรวจการทำงานของตับ เป็นการตรวจดูเอ็นไซม์และสารต่างๆ ในเลือด เพื่อหาภาวะตับอักเสบ ภาวะดีซ่าน
ตรวจไวรัสตับอักเสบ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี โดยตรวจจากส่วนประกอบของเชื้อ (HBsAg) และระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ (HBsAb)
ตรวจปัสสาวะ ช่วยในการวินิจฉัยโรคในระบบทางเดินปัสสาวะเบื้องต้น รวมถึงโรคเบาหวาน
ตรวจอุจจาระ ช่วยในการวินิจฉัยโรคในระบบทางเดินอาหารเบื้องต้น เช่น ภาวะการอักเสบติดเชื้อในลำไส้ พยาธิ รวมถึงตรวจหาภาวะเลือดปนในอุจจาระซึ่งอาจเกิดจากแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ริดสีดวงทวาร มะเร็งทางเดินอาหารและลำไส้
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เป็นการประเมินการทำงานของหัวใจในขณะพัก เพื่อดูความผิดปกติเช่นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
เอกซเรย์ปอด เพื่อดูความผิดปกติในช่องทรวงอก เช่น ขนาดของหัวใจ  วัณโรคและโรคต่างๆ ของปอด เช่น โรคปอดเกิดจาก PM 2.5 และ Covid-19
ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง ตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะภายใน เช่น ตับอ่อน ม้าม ตับ ไต รวมถึงมดลูกและรังไข่ในผู้หญิงและต่อมลูกหมากในผู้ชาย
ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ เช่น TSH และ Free T4    
ตรวจสุขภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (EST: Exercise Stress Test) เพื่อตรวจคัดกรองว่ามี เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบ หรือไม่ขณะออกแรงและช่วยหาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะจากการออกกำลังกาย (ควรงดอาหารมื้อหนักๆ ก่อนทำการตรวจประมาณ 4 ชั่วโมง)    
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram : ECHO) เพื่อดูการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ , ขนาดของห้องหัวใจ , การไหลเวียนเลือดในหัวใจ สามารถใช้วินิจฉัยโรคหัวใจแต่กำเนิด, โรคลิ้นหัวใจพิการ, โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ, โรคของเยื่อหุ้มหัวใจ (ไม่ต้องงดน้ำและอาหาร)    
การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งทางเดินอาหาร (CEA) การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งตับ (AFP)
สารบ่งชี้มะเร็งตับอ่อน ท่อน้ำดี ถุงน้ำดี (CA19-9)      
สารบ่งชี้มะเร็งเต้านม (CA15-3) และมะเร็งรังไข่ (CA125) ในสตรี      
สารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก (PSA) ในสุภาพบุรุษ      
ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ด้วยการตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear หรือ Pap Test) เพื่อดูความผิดปกติของเซลล์และการตรวจหาเชื้อไวรัสมะเร็งปากมดลูก แนะนำในสตรีทุกคนที่อายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป หรือ 3 ปีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก หลังจากนั้นทำการตรวจทุก 1-2 ปี ส่วนสตรีที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจทุกปี หากผลตรวจเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี สามารถตรวจทุก 3 ปีได้ ยกเว้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก เช่น มีการติดเชื้อไวรัสเอช พี วี (HPV)  
บทความและสุขภาพอื่นที่น่าสนใจ