บทความสุขภาพ

ตาแดงอันตรายไหม? อาการเล็กน้อยที่ไม่ควรมองข้าม

บทความโดย: seoteam seoteam วันที่อัพเดท: 14 มิถุนายน 2568

ตาแดง

ตาแดงเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพดวงตาที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ การระคายเคือง หรือแพ้สารต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อม อาการตาแดงที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อยนั้น อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยการเริ่มต้นของโรคตาแดงหรือที่ทางการแพทย์เรียกว่าโรคเยื่อบุตาอักเสบได้ 

หากปล่อยให้อาการตาแดงดำเนินไปโดยไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี อาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ง่าย และรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว การเข้าใจสาเหตุของตาแดงและวิธีดูแลรักษาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรารับมือกับโรคนี้ได้อย่างเหมาะสม


สารบัญบทความ


โรคตาแดง คืออะไร?

โรคตาแดงคือ

ตาแดง หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการแพทย์ว่า Conjunctivitis คือ ภาวะการอักเสบของเยื่อบุตา ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อโปร่งใสที่คลุมอยู่บริเวณตาขาวและด้านในเปลือกตา การอักเสบนี้จะทำให้เส้นเลือดฝอยในเยื่อบุตาขยายตัว จนมองเห็นเป็นสีแดงเรื่อหรือมีอาการตาขาวแดงอย่างชัดเจน 

โรคตาแดงสามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะโรคตาในเด็ก ที่มักแพร่กระจายได้ง่ายจากการสัมผัสใกล้ชิดหรือใช้ของร่วมกัน สาเหตุหลักของโรคนี้คือการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะกลุ่ม Adenovirus และ Enterovirus ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านสารคัดหลั่งจากดวงตาผู้ป่วย เช่น น้ำตา หรือขี้ตา ถ้าหากผู้ป่วยพบว่าตัวเองมีอาการตาแดง ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง


ตาแดงเกิดจากสาเหตุใดบ้าง

ตาแดงเกิดจากอะไร? ตาแดงสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละคนอาจมีปัจจัยการกระตุ้นที่แตกต่างกันออกไป โดยสาเหตุที่มักพบได้บ่อยมีดังนี้

ตาแดงจากการติดเชื้อ

การติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสในบริเวณเยื่อบุตาเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดตาแดงและตาอักเสบ อาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยส่วนใหญ มักจะมีอาการน้ำตาไหล ระคายเคือง คันตา ตาแฉะ และมีขี้ตา โดยสีของขี้ตาอาจแตกต่างกันไปตามชนิดของเชื้อโรคที่ติดเชื้อ

ตาแดงจากอาการแพ้

ตาแดงเกิดจากการสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ต่าง ๆ เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือสารเคมีในเครื่องสำอาง สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ โดยผู้ป่วยจะมีอาการคันตา ตาบวม และมีน้ำตาไหลมากกว่าปกติ

ตาแดงจากอาการระคายเคือง

การสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่น ควัน หรือสารเคมีต่าง ๆ สามารถทำให้ตาแดงได้ โดยเฉพาะตาแดงข้างเดียวที่อาจเกิดจากการสัมผัสกับสารระคายเคืองโดยตรง หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในตาข้างใดข้างหนึ่ง

ตาแดงจากอาการตาแห้ง

เมื่อดวงตาขาดความชุ่มชื้นจากการใช้สายตาเป็นระยะเวลานานเกินไป หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้ง เช่น ห้องแอร์ อาจทำให้เกิดอาการตาแดง รู้สึกแสบ และเคืองตาเป็นระยะ ๆ

ตาแดงจากการจ้องหน้าจอ

การใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือแท็บเล็ตติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้กล้ามเนื้อตาเกิดความล้าและเครียด ผู้ที่ทำงานหน้าจอเป็นเวลาหลายชั่วโมง ส่วนใหญ่มักจะพบอาการตาแดงร่วมกับอาการปวดศีรษะ และมองเห็นภาพไม่ชัดหรือภาพเบลอ

ตาแดงจากการใช้คอนแทคเลนส์

หากใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาดหรือใส่นานเกินไป อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ มีอาการตาอักเสบและอาการอื่น ๆ เช่น ระคายเคืองและตามีขี้ตาเพิ่มขึ้น แต่ในบางกรณีอาจมีอาการปวดตา แสบตา ตาแดง หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตาได้ 

ตาแดงจากการอักเสบของเนื้อเยื่อ

ตาแดงจากการอักเสบของเนื้อเยื่อตา เช่น ต้อลม หรือต้อเนื้อ จะทำให้เยื่อบุตาขาวมีรอยแดงและระคายเคือง ซึ่งสาเหตุสามารถเกิดได้จากการสัมผัสกับสิ่งระคายเคืองเป็นเวลานาน อาทิ ลม ฝุ่น หรือเผชิญกับแสงแดด และนอกจากอาการตาแดงแล้ว ผู้ป่วยอาจรู้สึกแสบตา คันตา หรือมีน้ำตาไหลมากขึ้น บางรายอาจมีอาการบวมหรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตาได้


อาการของโรคตาแดง

อาการของโรคตาแดง

สำหรับผู้ป่วยโรคตาแดง อาการที่พบจะสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน ดังนี้

  • ตาขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือชมพู ตรงบริเวณตาขาวจะเปลี่ยนแปลงเป็นตาแดงหรือชมพูเข้ม อาจมีเส้นเลือดฝอยขยายตัวชัดเจน หรือในบางกรณีอาจพบปื้นเลือดใต้เยื่อบุตา
  • อาการคันและระคายเคือง จะรู้สึกคันตาอย่างต่อเนื่อง มีความรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมหรือเศษฝุ่นติดอยู่ในตา ทำให้ต้องขยี้ตาบ่อย ๆ
  • น้ำตาไหลมากผิดปกติ น้ำตาไหลตลอดเวลาแม้ไม่มีสาเหตุ หรือมีขี้ตาออกมาเยอะกว่าปกติ โดยสีของขี้ตาอาจเป็นใส เหลือง หรือเขียวขึ้นกับสาเหตุของการติดเชื้อ
  • เปลือกตาบวมและอักเสบ ทั้งเปลือกตาบนและล่างจะบวมแดง อาจมีอาการปวดเมื่อสัมผัสหรือกะพริบตา

หากมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากอาการรุนแรงมากขึ้น หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตามัวลง ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณหูโตและเจ็บ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาในทันที


อาการตาแดงติดต่อกันได้อย่างไร

ตาแดงที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย สามารถติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็วมาก โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น โรงเรียน ที่ทำงาน หรือโรงพยาบาล ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มมีอาการ ไปจนถึงช่วงที่อาการดีขึ้นแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ผู้ที่ได้รับเชื้ออาจเริ่มมีอาการภายใน 2-14 วันหลังสัมผัสเชื้อ โดยวิธีการแพร่เชื้อของโรคตาแดงมีดังนี้

  • การสัมผัสโดยตรง เป็นการสัมผัสสารคัดหลั่งจากดวงตาของผู้ป่วย เช่น ขี้ตา หรือน้ำตา โดยตรงแล้วนำมือที่สัมผัสมาขยี้ตาของตนเอง
  • การใช้สิ่งของร่วมกัน การใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หมอน แว่นตา หรือเครื่องสำอาง
  • การแพร่กระจายผ่านละอองฝอย เช่น การไอ จาม หรือพูดคุยในระยะใกล้กับผู้ป่วย ทำให้เชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ในละอองฝอยเข้าสู่ดวงตาของผู้อื่นได้
  • การใช้สระว่ายน้ำร่วมกัน เนื่องจากน้ำในสระว่ายน้ำสาธารณะที่ไม่ได้รับการดูแลความสะอาดอย่างเหมาะสม อาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อได้

ตาแดงกับวิธีการรักษาในปัจจุบัน

การรักษาโรคตาแดงอย่างถูกวิธีสามารถช่วยลดอาการและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ ซึ่งวิธีรักษาโรคตาแดง ให้หายเร็วที่สุดจำเป็นจะต้องอาศัยการดูแลที่เหมาะสมและการใช้ยาตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ โดยวิธีรักษาตาแดง ได้แก่

  • หยอดน้ำตาเทียมเพื่อลดอาการแสบตาและระคายเคือง
  • ใช้ยาหยอดตาหรือยาปฏิชีวนะตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ในกรณีที่มีตาอักเสบแดงร่วมด้วย
  • ล้างเปลือกตาด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาดวันละ 2–3 ครั้ง เพื่อช่วยลดการสะสมของเชื้อ
  • ใส่แว่นกันแดดเมื่อต้องออกนอกบ้าน เพื่อป้องกันลม ฝุ่น และแสงที่กระตุ้นอาการ
  • พักสายตา งดใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถือเป็นเวลานาน และนอนหลับให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หรือใช้คอนแทคเลนส์ระหว่างที่มีอาการ
  • ไม่ควรแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางรอบดวงตาจนกว่าอาการจะหาย
  • ล้างมือบ่อย ๆ และใช้กระดาษทิชชูสำหรับซับหน้า แทนผ้าเช็ดหน้าที่ใช้ซ้ำ
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดผู้อื่นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะในช่วงที่ตาแดงข้างเดียวหรือเริ่มลุกลามมากขึ้น
  • หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีภาวะตามัว เคืองตารุนแรง ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที

ตาแดงมีวิธีป้องกันอย่างไรบ้าง

ตาแดงวิธีป้องกัน

การป้องกันตาแดงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่กระจายของโรค โดยวิธีป้องกันตาแดงสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้

  • ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ ด้วยสบู่ โดยเฉพาะก่อนสัมผัสดวงตาหรือใส่คอนแทคเลนส์
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือเครื่องสำอางรอบดวงตา
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา แม้จะรู้สึกคันหรือระคายเคือง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดตาแดง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำสกปรก และหลีกเลี่ยงว่ายน้ำที่สระสาธารณะ ถ้าหากโดนน้ำควรรีบล้างหน้าและอาบน้ำให้สะอาด
  • งดการไปในที่สาธารณะหากมีอาการตาแดง เพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
  • ไม่ใช้ยาหยอดตาร่วมกับผู้อื่น และควรล้างมือก่อนและหลังการหยอดทุกครั้ง
  • ควรเข้ารับการตรวจสายตาอย่างเป็นประจำ หากมีอาการผิดปกติ เช่น ตามัว เคืองตา หรือตาแดงเรื้อรัง เพื่อรักษาได้ทันเวลา

ตาแดงอันตรายหรือไม่

โดยทั่วไปแล้วตาแดงไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงและสามารถหายได้เองในหลายกรณี แต่ถ้าหากมีอาการตาแดงข้างเดียว ไม่เจ็บ จะต้องทําไงดี คำตอบคือ ควรสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีอาการตามัวหรือแสบตาร่วมด้วยหรือไม่ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่จะต้องรักษา และถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 วัน ควรรีบพบจักษุแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด และป้องกันโรคร้ายแรงที่เกี่ยวกับดวงตาที่อาจเกิดขึ้นได้


รู้สึกตาแดง ตาเริ่มมัว เจ็บตามากขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

อาการตาแดงแม้จะเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและอาจเกิดจากสาเหตุที่ไม่รุนแรง เช่น ภูมิแพ้หรือการระคายเคืองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรถูกมองข้ามโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่รุนแรงกว่า เช่น การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน หรือแม้กระทั่งโรคทางตาที่รุนแรงขึ้น การดูแลเบื้องต้นด้วยตนเอง เช่น การรักษาความสะอาดและหลีกเลี่ยงการขยี้ตาเป็นสิ่งที่ดี แต่การวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงโดยจักษุแพทย์คือสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจส่งผลเสียต่อดวงตาในระยะยาว

หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังมีอาการตาแดงและต้องการคำปรึกษาจากทีมแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ พร้อมให้บริการดูแลสุขภาพดวงตาของคุณ ด้วยทีมจักษุแพทย์และเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยที่ทันสมัย ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับการรักษาอย่างตรงจุด 

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่


References

Muhammad F. Hashmi; Bharat Gurnani; Scarlet Benson. (2024, January 26). Conjunctivitis. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK541034/

Kierstan Boyd. (2024, September 11). Conjunctivitis: What Is Pink Eye?. https://www.aao.org/eye-health/diseases/pink-eye-conjunctivitis

บทความและสุขภาพอื่นที่น่าสนใจ