บทความสุขภาพ

รู้ทัน โรคต้อกระจก (Cataract) สาเหตุ อาการ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน

บทความโดย: วันที่อัพเดท: 27 กุมภาพันธ์ 2568

ต้อกระจก

เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยผู้สูงอายุสุขภาพร่างกายก็จะเริ่มเกิดการถดถอยไปตามวัย ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา ซึ่งหนึ่งในภัยเงียบที่เป็นอันตรายต่อดวงตาและการมองเห็นเป็นอย่างมาก คือ “ต้อกระจก” เนื่องจากเป็นอาการที่หากปล่อยให้ลุกลามถึงระยะสุดท้ายแล้วอาจทำให้ตาบอดได้เลย บทความนี้จะพามารู้จักกับโรคต้อกระจกว่า มีสาเหตุและวิธีการรักษาอย่างไร เพื่อให้ทุกคนหมั่นสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ และสามารถเข้ารักษาตัวได้อย่างปลอดภัย


สารบัญบทความ


ต้อกระจก (Cataract) คืออะไร

ต้อกระจก คือ

โรคต้อกระจก (Cataract) เป็นต้อชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับเลนส์ตา (Lens) เกิดจากโครงสร้างโปรตีนในเลนส์ตาเปลี่ยนไป จนทำให้เลนส์ไม่ใสอย่างที่ควรเป็น เลนส์จะมีลักษณะเป็นไตแข็ง สีขุ่น บริเวณที่ขุ่นอาจจะอยู่ตรงกลางเลนส์ หรือบริเวณขอบเลนส์ก็ได้ ทำให้แสงผ่านเข้าไปจนถึงจอประสาทตาที่อยู่ด้านในได้น้อยลง ทำให้ผู้ป่วยโรคต้อกระจกมีการมองเห็นที่ลดลง บางครั้งก็ทำให้การตกกระทบของแสงเปลี่ยนไปจนค่าสายตาเปลี่ยน อาจมองไกลไม่ชัด หรือทำให้เกิดภาพซ้อนได้ ซึ่งบางทีอาจจะมีอาการใกล้เคียงกับสายตาสั้น


สาเหตุของต้อกระจก

ต้อกระจกจะพบมากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปเพราะเมื่ออายุมากขึ้น ส่วนต่างๆของร่างกายจะเริ่มเสื่อมไปตามวัย หากเลนส์ตาเสื่อมสภาพ จนโครงสร้างทางเคมีของโปรตีนในเลนส์ตาเสื่อม ก็จะเกิดเป็นโรคขึ้นมานั่นเองหรือเกิดจากโรคบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกี่ยวกับไทรอยด์ หรือโรคอ้วน

อีกสาเหตุหนึ่งที่สามารถพบได้ คือการเป็นต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital cataract) อาจจะเกิดจากการเจริญผิดปกติในครรภ์ โรคทางกรรมพันธุ์ หรือเกิดจากการติดเชื้อบางอย่าง เช่น หัดเยอรมัน หรือไวรัสเริม เป็นต้น

สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดต้อกระจก

นอกจากสาเหตุภายในร่างกายแล้ว ต้อกระจกยังเกิดจากพฤติกรรม หรือภาวะอื่นๆ ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น

  • จ้องแสงอัลตราไวโอเลต (UV) หรือแสงที่สว่างมากเกินไปเป็นเวลานาน เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ แสงจากโทรศัพท์มือถือตอนกลางคืน แสงจากการเชื่อมเหล็ก
  • เคยเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตาจนกระทบกระเทือนดวงตามากๆ หรือมีสิ่งแปลกปลอมกระเด็นเข้าตา เช่น เศษเหล็ก เศษหิน หรือสารเคมีอันตราย
  • เคยเกิดภาวะอื่นๆเกี่ยวกับตา เช่น การอักเสบ ติดเชื้อในตา หรือมีสายตาสั้นมากๆ
  • เคยผ่าตัดดวงตา
  • ใช้ยาชนิดต่างๆเป็นเวลานาน เช่น ยาหดม่านตา ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ โดยเฉพาะยากลุ่มสเตียรอยด์
  • เคยเข้ารับการฉายรังสี
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่จัด

อาการของต้อกระจก

อาการต้อกระจก

โรคต้อกระจกจะแบ่งอาการออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้

  1. ระยะเริ่มแรก (Early Cataract) อาการเริ่มต้นมักจะเริ่มมองภาพไม่ชัด ค่าสายตาเปลี่ยนไป โฟกัสสายตาได้ยาก อาจจะเกิดอาการปวดหัวขึ้น
  2. ระยะก่อนต้อสุก (Immature Cataract) ระยะนี้เลนส์ตาจะเริ่มเป็นสีขาวขุ่น ส่วนใหญ่จะเริ่มขุ่นตรงกลางเลนส์ทำให้มีผลต่อการมองเห็นมากกว่าเดิม ผู้ป่วยจะเห็นภาพเป็นฝ้ามัวๆ คล้ายตามัวเหมือนมีหมอก มองเห็นไม่ชัดในที่สว่าง สายตาสั้นมากขึ้น
  3. ระยะต้อสุก (Mature Cataract) คือ เลนส์ตาจะเริ่มขุ่นมากขึ้น จากที่ขุ่นแค่ตรงกลาง จะเริ่มขยายออกรอบๆจนขุ่นทั้งเลนส์ เริ่มมีผลกับการมองเห็นมากขึ้นจนใช้ชีวิตประจำวันได้ยาก ขับรถในตอนกลางคืนได้ยาก เป็นขั้นที่ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นระยะที่ยังผ่าตัดได้ง่าย
  4. ระยะต้อสุกเกิน หรือสุกงอม (Hypermature Cataract) คือ เลนส์ตาขุ่นมากที่สุด เริ่มเป็นก้อนแข็ง ภาพมัวจนมีผลต่อการมองเห็น และการใช้ชีวิตอย่างมาก เป็นระยะที่รักษาได้ยากกว่าระยะต้อสุก และถ้าทิ้งไว้อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน อย่างการอักเสบในดวงตา เลนส์บวมจนเป็นต้อหิน หรือโปรตีนรั่วออกจากแก้วตา เกิดความผิดปกติจนสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้

วิธีรักษาต้อกระจก

รักษาต้อกระจก

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาต้อกระจกโดยไม่ต้องผ่าตัดเลย เพราะไม่มียาหยอดยา หรือยารักษาที่สามารถสลายต้อจากดวงตาได้ โดยอาการระยะแรกที่ต้อยังไม่แข็งมากสามารถรักษาตามอาการและหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งผลให้อาการหนักขึ้น หากอาการไม่ดีขึ้นเลยจนเข้าสู่ระยะต่อสู้ ก็จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

วิธีรักษาต้อกระจกโดยไม่ผ่าตัด

ในระยะนี้แพทย์อาจจะแนะนำให้ตัดแว่นเพื่อปรับค่าสายตา หรือใช้เลนส์ตัดแสง เพื่อรักษาไปตามอาการก่อน การมองเห็นภาพไม่ชัด ไม่ได้มีปัญหากับการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก อาการจะเหมือนผู้ที่สายตาสั้นตามปกติ ตราบใดที่อาการไม่แย่ลงมาก สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา

วิธีรักษาต้อกระจกด้วยการผ่าตัด 

แพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดต้อกระจกก็ต่อเมื่อคนไข้มองเห็นภาพไม่ชัด จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ โดยการผ่าตัดมีทั้งหมด 2 วิธี ต่างกันตามวิธีนำเลนส์ตาออก คือ

1. การผ่าตัดแบบแผลเปิดกว้าง (Extracapsular Cataract Extraction)

เป็นการผ่าตัดโดยการเปิดปากแผลที่ดวงตา ขนาด 6 - 10 มิลลิเมตร แล้วนำเลนส์ส่วนที่แข็งออกมา จากนั้นแพทย์จะใช้เครื่องมือดูดเนื้อเลนส์ตาที่เหลือออก ก่อนใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไป วิธีนี้เป็นการรักษาแบบเก่าที่ได้ผลดี ใช้รักษาต้อกระจกระยะสุกหรือสุกเกิน แต่มีข้อเสียคือแผลค่อนข้างกว้าง ใช้เวลาผ่าตัดและพักฟื้นนาน

2. การผ่าตัดด้วยการสลายต้อกระจก (Phacoemulsification)

Phaco เป็นการรักษาต้อกระจกโดยใช้เครื่องมือเข้าไปสลายต้อที่เลนส์ตา ด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) แพทย์จะเปิดแผลขนาดเล็กเพียง 3 มิลลิเมตรเท่านั้น ใช้เวลาผ่าตัดเพียง 30 - 60 นาที การผ่าตัดด้วยวิธีนี้จะไม่ทิ้งรอย ไม่ต้องตัดไหม สามารถกลับบ้านได้เลยหลังผ่าตัด พักฟื้นเพียง 1 อาทิตย์ ก็สามารถใช้ชีวิตได้เกือบปกติ

การผ่าตัดแบบนี้มีข้อดีอีกอย่าง คือ เลนส์เทียมที่ใส่เข้าไปแทนเลนส์ตาเดิม เป็นเลนส์แบบพับที่สามารถแก้ไขค่าสายตายาวและเอียงได้ สามารถเลือกระยะเลนส์ให้เหมาะกับการใช้งานได้ เป็นการแก้ไขค่าสายตาพร้อมกับการรักษา โดยเลนส์เทียมที่ใช้ร่วมกับการผ่าตัดสลายต้อ จะเป็นเลนส์พับที่สามารถแก้ไขค่าสายตายาว และสายตาเอียงได้ โดยไม่ต้องทำเลสิค

แต่การผ่าตัดต้อกระจกด้วยวิธีการสลายต้อ สามารถรักษาได้แค่อาการระยะแรก ๆ เท่านั้น หากต้อแข็งเกินไป คลื่นเสียงจะไม่สามารถสลายต้อได้หมด การรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่มจึงมีความสำคัญ ก่อนการผ่าตัดแพทย์จะมีการประเมินดวงตาอย่างละเอียด เพื่อการผ่าตัดรักษาที่แม่นยำ

โดยราคาของเลนส์เทียมแต่ละชนิด สามารถดูได้จากในบทความนี้ : ผ่าตัดต้อกระจกด้วยวิธีการสมัยใหม่ที่ได้ผลลัพธ์อย่างชัดเจน


วิธีป้องกันโรคต้อกระจก

หลังผ่าตัดต้อกระจกแล้วมองไม่ชัด

อย่างที่ทราบกันว่าโรคต้อกระจกยังไม่มียารักษา ทางรักษาเดียวคือการผ่าตัดเท่านั้น หากไม่อยากผ่าตัด ก็ควรป้องกันด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

  • ระวังไม่ใช้สายตามากเกินไป ควรถนอมสายตาด้วยการพักสายตาบ้างหลังใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ไม่มองแสงจ้าเป็นเวลานาน หากต้องอยู่ในที่แสงจ้า ควรใส่แว่นกันแดดหรือหมวกปีกกว้าง ถ้าทำงานที่ต้องจ้องแสง ควรมีเครื่องมือป้องกันดวงตาจากแสงด้วย
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารบำรุงสายตา เช่น วิตามินซี วิตามินอี และวิตามินเอ ไม่ต้องทานอาหารเสริมให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่าอาหารเสริมสามารถป้องกันต้อกระจกได้
  • ระวังการใช้ยา ไม่ใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น แต่ก็ต้องปรึกษาแพทย์ด้วย เพราะยาบางตัวจำเป็นต้องใช้ในระยะยาว
  • ไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง หากตามีปัญหาควรพบแพทย์ ให้แพทย์จ่ายยาเท่านั้น
  • งดสูบบุหรี่ และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ไม่ทำให้ตนเองเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุที่จะกระทบกับดวงตา
  • หมั่นตรวจสายตา หรือตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้พบโรคได้เร็ว

รักษาโรคต้อกระจกที่ไหนดี

ตาเป็นอวัยวะที่บอบบาง หากเกิดความผิดปกติขึ้นควรรีบรักษาโดยเร็วที่สุด การเลือกสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุดโรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ เราดูแลคนไข้เหมือนเป็นเพื่อนบ้านของเรา ทำให้การหาหมอพบแพทย์เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งทางโรงพยาบาลยังมีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหลายท่าน สภาพแวดล้อมดี สะอาด ปลอดภัย เครื่องมือได้มาตรฐาน พร้อมเทคโนโลยีการรักษาได้คุณภาพ

แนะนำวิธีการเลือกสถานพยาบาล

  • เทคโนโลยีทันสมัย: โรงพยาบาลของเรามีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการผ่าตัด ทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำและปลอดภัย
  • ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: นำโดย นพ.ธนพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ มีประสบการณ์มากมายในการผ่าตัดต้อกระจก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะซับซ้อน
  • การดูแลที่อบอุ่น: เราดูแลคนไข้เหมือนเป็นเพื่อนบ้าน ให้ความสะดวกสบายและความมั่นใจในการรับบริการ

ต้อกระจก รู้เท่าทันสาเหตุและการรักษาอย่างถูกต้อง

ต้อกระจกส่วนใหญ่เกิดจากอายุที่มากขึ้นทำให้เลนส์ตาเสื่อมสภาพ อาการของโรคทำให้ผู้ป่วยมองภาพไม่ชัด เห็นภาพซ้อน สามารถรักษาได้ด้วยการใส่แว่นตามค่าสายตา แต่ถ้าอาการหนักขึ้น การมองเห็นน้อยลง สามารถรักษาการผ่าตัดต้อกระจก

หากรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ ผู้เข้ารับการรักษาสามารถเลือกเลนส์ เพื่อแก้ไขปัญหาสายตายาว และสายตาเอียงพร้อมกับการผ่าตัดต้อกระจกได้ในครั้งเดียว อีกทั้งยังสามารถรักษาต้อลมและต้อเนื้อ ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาคอยดูแลคุณตลอดกระบวนการรักษา ให้คุณอุ่นใจได้เหมือนมีคุณหมอเป็นเพื่อน

ช่องทางติดต่อ


References

Afflitto, G. G., Aiello, F., Surico, P. L., Malek, D. A., Mori, T., Swaminathan, S. S., Maurino, V., & Nucci, C. (2025). Cataract and Risk of Fracture: a Systematic Review, Meta-Analysis, and Bayesian Network Meta-Analysis. Ophthalmology, S0161-6420(25)00130-7. Advance online publication. https://doi.org/10.1016/j.ophtha.2025.02.010

Kuriyama, T., Ono, T., & Eguchi, S. (2025). Decentration and Tilt of Plate-Haptic Intraocular Lenses After Cataract Surgery: Anterior Segment Optical Coherence Tomography Evaluation. Cureus, 17(1), e77634. https://doi.org/10.7759/cureus.77634

บทความและสุขภาพอื่นที่น่าสนใจ
pdpa-icon

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ แสดงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเว็บไซต์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว​ (Privacy Policy)​