บทความสุขภาพ

กระจกตาย้วย ภาวะผิดปกติทางสายตาที่ไม่ควรละเลย

บทความโดย: วันที่อัพเดท: 26 มีนาคม 2567

โรคกระจกตาย้วย หรือ โรคกระจกตาโก่ง หรือที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ โรคกระจกตาป้อแป้ อาการของโรคนี้ ในช่วงแรก ผู้ป่วยจะมีปัญหาเรื่องสายตาสั้น และจะสั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ  ตามมาด้วยสายตาเอียง และก็เอียงมากยิ่งขึ้น

กระจกตาย้วย ภาวะผิดปกติของโครงสร้างกระจกตา ที่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น ทำให้ภาพเบลอ บิดเบี้ยว ดวงตาไวต่อแสง ปัญหาเหล่านี้จัดเป็นปัญหาที่ร้ายแรง เพราะดวงตาเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย และมีส่วนสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เราจึงควรศึกษาโรคนี้ให้ละเอียด เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เหมาะสม ถูกวิธี
                                                                                                        


กระจกตาย้วย (Keratoconus)

กระจกตาย้วย กระจกตาโก่ง (Keratoconus) คือ ภาวะผิดปกติของกระจกตา เนื่องจากกระจกตามีลักษณะบางลงเรื่อย ๆ ร่วมกับการโก่งนูนของกระจกตาที่ยื่นมาข้างหน้าเป็นรูปทรงกรวย ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเส้นใยคอลลาเจนของกระจกตา ทำให้กระจกตาไม่แข็งแรงจึงถูกดันให้โก่งนูนออกมา ต่างจากกระจกตาปกติที่จะมีรูปทรงกลมหรือทรงรีเล็กน้อย 
 


กระจกตาย้วย เกิดจากสาเหตุใด

ภาวะกระจกตาย้วยเกิดจากเส้นใยคอลลาเจนอ่อนแอ หรือ คอลลาเจนในชั้นกลางของกระจกตามีการเรียงตัวที่ผิดไป ไม่สม่ำเสมอ และหากไม่รีบรักษา ปล่อยให้เกิดภาวะนี้นาน ๆ กระจกตาบางชั้นอาจมีการฉีกขาด เกิดเป็นแผลในลักษณะฝ้ายาว และค่อย ๆ หลุดไปในระหว่างการเปลี่ยนแปลงของเนื้อกระจกตา ทำให้กระจกตาบางลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบริเวณตรงกลางหรือค่อนมาทางด้านล่างเล็กน้อย ส่งผลให้กระจกตายื่นปูดออกมาข้างหน้า ก่อให้เกิดภาวะตาสั้น - เอียงมากขึ้น ทำให้สายตามัวลง มองเห็นไม่ชัด จนต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อย ๆ

โดยสาเหตุของภาวะกระจกตาย้วย ได้แก่
 

  • กรรมพันธุ์
  • การขยี้ตาแรงบ่อย ๆ เป็นเวลานาน ๆ มักพบในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ขึ้นตา
  • พบร่วมกับบางโรค เช่น ดาวน์ซินโดรม โรคหนังยืดผิดปกติ โรคหืด
  • ไม่ทราบสาเหตุ
  • รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์มากเกินไป
 

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้กระจกตาย้วย กระจกตาโก่ง

ในปี 2562 จักษุแพทย์จากราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย พบว่าผู้ที่มีภาวะกระจกตาโก่งจะสัมพันธ์กับปริมาณคอลลาเจนในกระจกตาที่ลดน้อยลง การที่คอลลาเจนในกระจกตาลดลงจะพบร่วมกับปัจจัยเสี่ยง ดังนี้

 

  • ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะกระจกตาโก่ง ได้พบว่า หญิงมีครรภ์จะมีการดำเนินโรคกระจกตาโก่งรุนแรงมากขึ้น
  • เพศสภาพ จากการวิจัยพบโรคกระจกตาย้วยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในอัตราส่วน 2:1
  • เป็นโรคภูมิแพ้ที่มีอาการคันตา 
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ
  • คนไข้ที่ทำเลสิกจะมีปัญหากระจกตาโก่งได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะต้องมีการฝนกระจกตาให้บางลง

 


เช็คอาการของโรคกระจกตาย้วย

อาการของโรคกระจกตาย้วย กระจกตาโก่ง จะเริ่มแสดงในช่วงอายุ 13 ปีเป็นต้นไป และอาการโรคจะแสดงยาวถึง 10-20 ปี และอาการที่บ่งบอกว่ามีภาวะกระจกตาย้วย คือ

 

  • สายตามัวลงเรื่อย ๆ เห็นภาพไม่ชัดเจนตั้งแต่วัยรุ่น
  • เคืองตา แสบตา และตาสู้แสงได้ไม่ดีนัก
  • มีสายตาสั้นและเอียงค่อนข้างมาก โดยจะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาเป็นประจำ
  • หากมีอาการเป็นมาก กระจกตาจะบางลงจนบวมน้ำและแตกได้ เกิดเป็นแผลเป็นที่กระจกตา ทำให้การมองเห็นแย่ลง
  • ปวดศีรษะร่วมกับปวดตา

 


ใครที่เสี่ยงกระจกตาย้วย

กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อภาวะกระจกตาย้วย กระจกตาโก่ง คือมีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างภายในกระจกตาทำให้กระจกตาบาง และโก่งออก ส่งผลให้มีการมองเห็นที่ผิดปกติ มีสายตาสั้น สายตาเอียง ความสามารถในการมองเห็นลดลง โรคนี้มักพบในช่วงอายุยังน้อย 10 กว่าปี และจะมีอาการรุนแรงในช่วงอายุ 20-39 ปี แต่บางรายอาจใช้เวลาหลายสิบปี จึงจะมีอาการรุนแรง

กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นกระจกตาย้วย กระจกตาโป่ง มีดังนี้

 

  • ผู้ที่มักจะขยี้ตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่มีอาการคันตามาก ๆ และมักจะขยี้ตาด้วยการใช้ข้อนิ้วกดลูกตา
  • ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน ๆ ก็อาจส่งผลให้คอลลาเจนในกระจกตาบางลงได้
  • ผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้นหรือเอียง โดยมีค่าสายตาสั้นหรือเอียงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (ประมาณ 100 หรือ -1.0 ต่อปี) จนต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยครั้ง
  • ผู้ป่วยโรคดาวน์ซินโดรม มีความเสี่ยงภาวะกระจกตาโก่งมากกว่าคนทั่วไป
  • ผู้ป่วยโรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน อันได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยกล้ามเนื้อหลอดเลือด น้ำเหลือง และเส้นประสาททั้งหลาย ซึ่งเชื่อว่าโรคเหล่านี้อาจทำให้คอลลาเจนมีการเรียงตัวที่ผิดปกติไป
  • ผู้ป่วยโรคที่พบตั้งแต่กำเนิด เช่น โรคหนังยืดผิดปกติ (Ehlers Danlos), โรคกระดูกเปราะกรรมพันธุ์ (Osteogenic imperfecto) หรือโรคครูซอง (Crouzon syndrome) ก็พบภาวะกระจกตาโก่งได้มากกว่าคนทั่วไป

 


กระจกตาย้วย..เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์

เมื่อใดก็ตามที่พบว่าเริ่มจะมีปัญหาในการมองเห็นภาพ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับตา (เช่นตาแดง เคืองตามาก) ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที เพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมกับสาเหตุ

และเนื่องจากโรคกระจกตาย้วยเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงมีความแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน และเพื่อที่แพทย์จะได้ตรวจติดตามความคืบหน้าของโรคได้ พร้อมทำการรักษาแก้ไขตั้งแต่แรกเริ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงของกระจกตา

                                                                                       


การตรวจวินิจฉัยโรคกระจกตาย้วย

โดยปกติแล้วโรคกระจกตาย้วย กระจกตาโป่งนั้นมักจะถูกตรวจพบโดยบังเอิญจากการที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโรคตาอื่น ๆ หรือ เพื่อทำเลสิก และจักษุแพทย์มีความสงสัยถึงภาวะกระจกตาโก่ง จึงนำมาตรวจวัดสายตาขั้นที่ลึกกว่าปกติด้วยเครื่อง Corneal topography ซึ่งคืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถตรวจดูแผนที่ความโค้งนูนของกระจกตาอย่างละเอียด

การวินิจฉัยโรคกระจกตาย้วย กระจกตาโก่ง จักษุแพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายของคนไข้ รวมถึงซักประวัติโรคกระจกตาย้วยของคนในครอบครัว ทั้งยังมีการตรวจความโค้งนูนของกระจกตาคนไข้ โดยวิธีที่จักษุแพทย์ใช้ ได้แก่

 

1. การตรวจวัดความโค้งของกระจกตา 

โดยใช้เครื่องเคอราโตมิเตอร์ (Keratometer) ส่องไฟไปที่กระจกตาเพื่อวัดความโค้งของกระจกตา

 

2. การถ่ายภาพกระจกตาของผู้ป่วย 

เพื่อนำไปตรวจกระจกตาโดยละเอียด

 

3. การส่องกล้องจุลทรรศน์ดวงตา 

เป็นการใช้เครื่อง Slit-lamp สำหรับตรวจดวงตา เพื่อตรวจสอบรูปร่าง และความผิดปกติต่าง ๆ รอบกระจกตา

 

4. การใช้เครื่องวัดกำลังสายตา 

การใช้เครื่องวัดกำลังสายตาหรืออุปกรณ์ตรวจตาเรติโนสโคป (Retinoscope) ในการวัดค่าการหักเหแสงของดวงตา รวมถึงการตรวจสอบจอประสาทตาของคนไข้

 


วิธีรักษาโรคกระจกตาย้วย

วิธีรักษาโรคกระจกตาย้วย กระจกตาโป่งนั้น จะเป็นการรักษาตามระยะความรุนแรงของโรค เช่น หากอาการไม่มาก อาจแก้ไขให้มองเห็นได้ดีขึ้นด้วยการใส่แว่น หรือถ้ามีอาการมากขึ้น ก็อาจจะใช้วิธีการรักษาต่อไปนี้

 

1. การใส่คอนแทคเลนส์ 

ถ้าอยู่ในระยะแรกที่อาการยังไม่รุนแรงมาก แพทย์อาจทำการรักษาด้วยการให้ผู้ป่วยใส่แว่นตา หรือใส่คอนแทคเลนส์แบบพิเศษหลายชนิด เช่น scleral lens, RGP lens เป็นต้น

 

2. การฉายแสงร่วมกับวิตามินบี 2 

หลังจากนั้นก็จะทำการรักษาอย่างต่อเนื่องด้วยการฉายแสงอัลตราไวโอเลตร่วมกับวิตามินบี (Collagen Cross Linking) ที่กระจกตา เพื่อทำให้เส้นใยคอลลาเจนแข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ของการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา 

อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนที่มีกระจกตาหนาน้อยกว่า 400 ไมครอน หรือคนที่เคยมีประวัติติดเชื้อเริมที่กระจกตามาก่อน หรือคนที่มีการหายของแผลที่ผิวกระจกตาผิดปกติ

 

3. การผ่าตัดนำอุปกรณ์ใส่ไว้ในกระจกตา 

เป็นเทคโนโลยีใหม่ในการรักษาภาวะกระจกตาโก่งด้วยการใส่วงแหวนขึงกระจกตา เพื่อทำให้กระจกแบนลงและมีความโค้งใกล้เคียงปกติมากขึ้น ทำให้สามารถใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์แก้ไขสายตาได้ วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีกระจกตาโก่งแต่ไม่สามารถใส่แว่น หรือ คอนแทคเลนส์ให้มองเห็นดีขึ้นได้ เนื่องจากสายตาโก่งหรือเอียงมากเกินไป

 

4. การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา 

เป็นการรักษาแบบเดิมที่มีความซับซ้อน และต้องรอคอยกระจกตาจากผู้บริจาคอวัยวะ ซึ่งอาจต้องรอเป็นเวลานานมากถึง 3 ปี วิธีนี้จะใช้ในกรณีที่กระจกตาโก่งขั้นรุนแรง หรือมีแผลเป็นที่กระจกตาร่วมด้วย และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยคอนแทคเลนส์ ดังนั้นการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาจะช่วยแก้ไขความโค้งของกระจกตาให้ใกล้เคียงภาวะปกติได้

                                                                                      


แนวทางการป้องกันกระจกตาย้วย

วิธีป้องกันกระจกตาย้วย กระจกตาโก่ง สำหรับคนที่ไม่ได้มีภาวะโรคนี้แต่กำเนิด และไม่มีปัญหาสายตาอื่น ๆ ร่วมด้วย วิธีป้องกันที่ทางจักษุแพทย์แนะนำคือ

 

  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรง ๆ
  • ป้องกันดวงตา จากเเสงเเดดเเรงๆ เเละแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอม และมือถือ
  • ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ค้างคืน
  • ไม่ใช้สายตาหนักเกินไป หากเมื่อยล้าดวงตาเมื่อไร ให้ลองกลอกตาไปมา แต่ไม่แนะนำให้กดหรือนวดดวงตาโดยตรง
  • การทานอาหารเสริมเพื่อบำรุงสายตาเป็นเรื่องที่ดี เเต่ก่อนจะเลือกซื้ออาหารเสริม ควรศึกษาใ้ดีก่อน หรือเพื่อความเเน่ใจปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนจะเริ่มทาน
  • สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของค่าสายตาสั้น และเอียงภายใน 1 ปี โดยค่าของสายตาไม่ควรเปลี่ยนมากกว่า 50-100 ภายใน 1 ปี มิฉะนั้นให้รีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที

สำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีเป้นต้นไป ควรตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำทุกปี อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง เพื่อตรวจสอบว่าพบความผิดปกติต่างๆ ในดวงตา หรือโรคกระจกตาโก่งหรือไม่

 


กระจกตาโก่งรักษาที่ไหนดี

สำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระจกย้วยตานั้น สามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลหรือคลินิกที่มีอยู่มากมาย ซึ่งเราจะขอแนะนำหนึ่งในสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ ของจักษุแพทย์ที่จะคอยให้คำปรึกษา แนะนำ และทำการรักษาให้อย่างดีที่สุด 

สถาบันจักษุสมิติเวช ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ รักษาดูแลดวงตาโดยเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะช่วยให้คุณหายจากภาวะกระจกตาย้วย นอกจากนี้ที่ตั้งโรงพยาบาล สมิติเวช ไชน่าทาวน์ ยังตั้งอยู่ที่ใจกลางกรุงเทพ เดินทางไปได้อย่างสะดวกสบาย

                                                                                           


FAQs กระจกตาย้วย

กระจกตาย้วยรักษาได้ไหม

ในปัจจุบันยังไม่มีการผ่าตัดด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตามที่สามารถแก้ไขความบิดเบี้ยวของกระจกตาให้กลับมาเป็นปกติได้  แต่ก็ยังสามารถแก้ไขให้การมองเห็นกลับมาชัดเจนเป็นปกติมากที่สุดได้ ด้วยการใช้คอนแทคเลนส์ชนิดกึ่งนิ่มกึ่งแข็ง (Rigid Gas Permeable Contact Lens, RGP) 

โดยเมื่อผิวกระจกตาที่บิดเบี้ยว ถูกปิดด้วยคอนเเทคเลนส์ RGP ที่มีผิวเรียบสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ออกซิเจนจากอากาศซึมผ่านตัวเลนส์ไปสู่กระจกตาได้ในปริมาณสูง เลนส์ RGP จะยึดกระจกตา ช่วยปรับปรุงการมองเห็น

 

กระจกตาโก่งทำเลสิกได้ไหม

คนที่มีปัญหากระจกตาโก่งนั้นไม่สามารถรักษาด้วยวิธีเลสิก เนื่องจากมีปัญหาที่กระจกตาบางมาก หรือก็คือความหนาของกระจกตาไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับระดับความผิดปกติของสายตา ทางเลือกอื่นก็คือ การรักษาด้วยการใช้เลนส์เสริมได้

 


ข้อสรุป

สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคกระจกตาย้วย กระจกตาโป่ง อาการจะต่างกันไปในแต่ละคน แต่ถ้าได้ทำการปรึกษาจักษุแพทย์ตั้งแต่แรกเริ่มที่มีอาการ เพื่อหาสาเหตุ และวิธีหลีกเลี่ยงก่อนที่จะลุกลามจนถึงขั้นอาการรุนแรง ก็สามารถช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปด้วยความราบรื่น เพราะดวงตาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราต้องดูสังเกตความผิดปกติ และรู้จักถนอมสายตา เพื่อให้ดวงตาคู่นี้อยู่กับเราไปนานๆ

การไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่เหมาะสมนั้น เป็นวิธีป้องกันโรคกระจกตาย้วย กระจกตาโป่ง ที่ดีที่สุด หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคกระจกตาย้วย หรือโรคทางสายตาอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามมาได้ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์

ติดต่อได้ที่เบอร์โทร 02-118-7893 

อีเมล์ : info@samitivej.co.th   

หรือช่องทาง LINE : @samitivejchinatown

 

เอกสารอ้างอิง

2020, Keratoconus, https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/keratoconus

2022, What is Keratoconus https://www.aao.org/eye-health/diseases/what-is-keratoconus

2020, Keratoconus, https://www.lei.org.au/services/eye-health-information/keratoconus/

 


 

บทความและสุขภาพอื่นที่น่าสนใจ
pdpa-icon

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ แสดงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเว็บไซต์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว​ (Privacy Policy)​