บทความสุขภาพ

ซิฟิลิส โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่วัยรุ่นไม่ควรมองข้าม

บทความโดย: seoteam seoteam วันที่อัพเดท: 4 กันยายน 2568

ซิฟิลิส

ปัจจุบันนี้อัตราการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในสังคมมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากคนในสังคมขาดความรู้ ความเข้าใจ และการระมัดระวังในขณะร่วมเพศ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น หนึ่งในโรคที่เหล่าวัยรุ่นหรือนักรักทั้งหลายมักมองข้ามคือ ‘โรคซิฟิลิส’ 

โดยโรคซิฟิลิสนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับทุกเพศและทุกวัยที่มีเพศสัมพันธ์อย่างไม่ปลอดภัย เช่น การไม่สวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือสวมเพียงชั่วครู่แล้วถอดออก ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่สวมถุงยางอนามัย โดยอาการโรคซิฟิลิสก็จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล หากรู้เท่าทันโรคได้ไวก็สามารถรักษาซิฟิลิสให้หายขาดได้


สารบัญบทความ


ซิฟิลิส (Syphilis) คืออะไร? ภัยเงียบที่ต้องระวัง

Syphilis หรือซิฟิลิส คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) ผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสระยะแรกนั้นสามารถพบแผลซิฟิลิส หรือแผลริมแข็ง (Chancre) โดยลักษณะรูปโรคซิฟิลิสจะเป็นตุ่มนูน แตกออกเป็นแผลกว้างบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก โดยผื่นซิฟิลิสระยะแรกนี้จะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดใด ๆ

ซิฟิลิสเป็นภัยเงียบที่ตรวจพบได้ยาก เพราะเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว อาจไม่แสดงอาการชัดเจน หรืออาจเป็นแผลในบริเวณที่สังเกตได้ยาก ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อจนกว่าจะได้รับการตรวจเลือดในภายหลัง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา เชื้อซิฟิลิสจะลุกลามเข้าไปทำลายระบบต่าง ๆ ในร่างกาย และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้


สาเหตุของซิฟิลิสคืออะไร?

สาเหตุของซิฟิลิส

โรคซิฟิลิสคือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum โดยเชื้อจะติดต่อผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งโดยตรงขณะมีเพศสัมพันธ์ ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และทางปาก (Oral sex) รวมถึงการจูบกับผู้ที่มีแผลในปากที่ติดเชื้อซิฟิลิสอยู่ การติดต่อจากแม่สู่ลูกขณะตั้งครรภ์หรือระหว่างการคลอดบุตร ซึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อซิฟิลิสคือ กลุ่มคนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และมีพฤติกรรมการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ


อาการของซิฟิลิสในแต่ละระยะ

โรคซิฟิลิสจะมีระยะเวลาฟักตัวประมาณ 2-4 สัปดาห์ หรือในผู้ติดเชื้อบางรายก็ไม่แสดงอาการนานถึงปี อาจจะรู้ตัวว่าเป็นซิฟิลิสก็ต่อเมื่ออยู่ในระยะที่ 2 แล้ว สำหรับอาการของโรคซิฟิลิสนั้น ทางการแพทย์ได้แบ่งระยะของโรคออกเป็นทั้งหมด 4 ระยะ ซึ่งในแต่ระยะก็อาจจะมีอาการของโรคที่คาบเกี่ยวกันไปตามแต่ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 (Primary syphilis)

อาการของซิฟิลิสระยะแรกจะเป็นอาการของซิฟิลิสระยะฟักตัวเกิดขึ้นเมื่อผู้ติดเชื้อได้รับเชื้อมาประมาณ 2-4 สัปดาห์แล้ว จะปรากฏตุ่มเล็กขนาด 2-4 มิลลิเมตร มีลักษณะขอบนูนแข็ง หรือที่เรียกว่า ‘แผลริมแข็ง’ บริเวณอวัยวะเพศ, ริมฝีปาก, ลิ้น, ท่อปัสสาวะ, เยื่อบุตา หรือเยื่อบุช่องคลอด อาจจะมีแผลเดียวหรือหลายแผลก็ได้ ซึ่งผู้ติดเชื้อซิฟิลิสที่มีอาการดังกล่าวจะไม่รู้สึกเจ็บที่แผล และแผลริมแข็งจะสามารถหายไปได้เองภายในระยะเวลา 6 สัปดาห์ แม้ว่าผู้ติดเชื้อจะไม่ได้รับการรักษา

ระยะที่ 2 (Secondary syphilis)

สำหรับอาการซิฟิลิสระยะที่ 2 หรือ ‘ระยะออกดอก’ จะเริ่มแสดงให้เห็นภายใน 3-12 สัปดาห์หลังติดเชื้อ โดยเป็นช่วงที่เชื้อแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดและต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันแบบเป็น ๆ หาย ๆ เช่น ผื่นขึ้นตามตัวคล้ายผื่นซิฟิลิสระยะแรกแต่ไม่มีอาการคันและพบเนื้อตายบางส่วน, ต่อมน้ำเหลืองโต, มีไข้, เจ็บคอ, ปวดเมื่อย, มีเชื้อราในปาก ผมร่วง และหากตรวจเลือด ผลเลือดของผู้ป่วยซิฟิลิสมักจะออกมาเป็นบวก

ระยะที่ 3 (Latent syphilis)

อาการซิฟิลิสระยะที่ 3 หรือ ‘ระยะแฝง’ เป็นช่วงที่ผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการใด ๆ โดยเชื้อจะซ่อนตัวอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานหลายปี ซึ่งเป็นระยะซิฟิลิสที่อาจถูกมองข้ามได้ง่าย ก่อนที่จะพัฒนาเข้าสู่ระยะที่ 4 หรือซิฟิลิสระยะสุดท้าย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อและสามารถแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้จากการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ มารดาที่ติดเชื้อในระยะนี้ก็สามารถแพร่เชื้อซิฟิลิสไปยังทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกมีปัญหาด้านสุขภาพตามมา เช่น การได้ยินผิดปกติ หรือโครงสร้างจมูกและฟันที่ผิดรูป (จมูกแบบซิฟิลิส)

ระยะที่ 4 (Tertiary syphilis)

สำหรับผู้ติดเชื้อซิฟิลิสที่ไม่ได้รับการรักษาจนผ่านเข้าสู่ระยะที่ 4 หรือระยะสุดท้ายของโรคซิฟิลิส จะพบรอยโรคเป็นแผล มีตุ่มซิฟิลิสขึ้นนูนตามตัว ในระยะนี้เชื้อโรคได้แพร่กระจายเข้าสู่ระบบต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือด ทำลายอวัยวะในระบบต่าง ๆ เช่น ระบบประสาทและสมอง, ระบบหัวใจและหลอดเลือด, ตับ, ดวงตา, กระดูกและข้อต่อ ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนภายในร่างกาย เช่น เป็นอัมพาต, ตาบอด, หูหนวก, ภาวะสมองเสื่อม, ลิ้นหัวใจรั่ว จนถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด


วิธีสังเกตซิฟิลิสในผู้ชายและผู้หญิง

ซิฟิลิส คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถเป็นได้ทั้งเพศหญิง และเพศชาย โดยจะมีลักษณะอาการร่วมคล้าย ๆ กัน แต่ก็จะมีจุดสังเกตที่แตกต่างตามลักษณะทางกายภาพของเพศ ดังนี้

ซิฟิลิสที่พบในผู้หญิง

  • ลักษณะเด่นของโรคซิฟิลิสที่พบทั้งในผู้หญิงและผู้ชายก็คือ อาการของแผลริมแข็งซิฟิลิส ถ้าสัมผัสกับแผลจะไม่รู้สึกเจ็บ
  • ซิฟิลิสอาการผู้หญิงจะมีตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิง มีฝ้าขาวขึ้นที่ลิ้น เป็นแผลที่ริมฝีปาก มีตกขาวและอาจมีเชื้อราในช่องคลอด ซึ่งการที่เกิดเชื้อราอาจจะทำให้มีอาการคันช่องคลอดได้ 
  • มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย และผมร่วงเป็นหย่อม ๆ 
  • นอกจากนี้ยังเป็นแผลในเยื่อบุช่องคลอด และปากมดลูก 

ซิฟิลิสที่พบในผู้ชาย

  • ซิฟิลิสอาการผู้ชายก็จะปรากฏลักษณะของตุ่มนูนที่เรียกว่า ‘แผลริมแข็ง’ เช่นเดียวกับซิฟิลิสที่พบในผู้หญิง โดยแผลริมแข็งนี้จะมีลักษณะคล้ายเริม และสำหรับผู้ชายที่มีอาการหนองในก็ควรจะไปตรวจเช็กให้ละเอียด เผื่อมีการติดเชื้อซิฟิลิสร่วมด้วย 
  • รอยโรคของซิฟิลิสที่พบในผู้ชายมักจะปรากฏที่ส่วนหัวองคชาต, ลำองคชาต, ใต้หนังหุ้มปลายองคชาต, บริเวณรอบถุงอัณฑะ, ขาหนีบ, ภายในท่อปัสสาวะ และบริเวณทวารหนัก สำหรับกลุ่มรักร่วมเพศ
  • นอกจากนี้จะมีผื่นซิฟิลิสขึ้นตามมือ และตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณฝ่าเท้า และบริเวณหลัง

การตรวจวินิจฉัยซิฟิลิส

ในการตรวจซิฟิลิส แพทย์จะสอบถามข้อมูลทั่วไป ประวัติการรักษา อาการที่ปรากฏรวมไปถึงพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังมีการตรวจร่างกายอย่างละเอียดด้วยวิธีการทางห้องปฏิบัติการ ดังนี้

  • การส่องกล้อง Dark-field (Dark-field microscopic test: DF) เพื่อตรวจหาเชื้อซิฟิลิสสำหรับผู้ติดเชื้อซิฟิลิสที่มีรอยโรคปรากฏ โดยการเก็บตัวอย่างเชื้อบนผิวหนังหรือน้ำเหลืองของผู้ติดเชื้อ
  • การตรวจเลือด (Blood test) เป็นการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกันต่อโรคซิฟิลิสโดยตรง ซึ่งเป็นวิธีการตรวจที่มีความแม่นยำสูง รู้ผลไว และสามารถตรวจเช็กได้ตั้งแต่เป็นซิฟิลิสระยะแรก โดยวิธีการตรวจเลือดจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ ตรวจเพื่อหาภูมิคุ้มกันแบบเฉพาะเจาะจงและแบบไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส
  • การตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) สำหรับผู้ที่มีอาการของซิฟิลิสระยะที่ 3 แพทย์จะใช้วิธีการตรวจน้ำไขสันหลังของผู้ติดเชื้อ เพื่อใช้ในการยืนยันโรค

ซิฟิลิส รักษาอย่างไร? ให้ร่างกายกลับมาแข็งแรง

ในปัจจุบันโรคซิฟิลิสมีวิธีรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) ขนาดสูงเพื่อฆ่าเชื้อและยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อซิฟิลิส โดยแพทย์จะฉีดให้ผู้ติดเชื้อโดยดูจากระยะเวลาในการติดเชื้อว่าติดมาเป็นเวลานานเท่าใด 

  • ผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสระยะแรก แพทย์จะฉีดยาเพนิซิลลินเข้ากล้ามเนื้อเพียง 1 ครั้ง แม้จะไม่ได้แสดงอาการป่วย
  • ผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสระยะที่ 2 และระยะที่ 3 แพทย์จะฉีดเพนิซิลลินเข้ากล้ามเนื้อสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ และหลังจากผู้ติดเชื้อซิฟิลิสฉีดยาครบ 3 เข็มแล้ว แพทย์จะนัดตรวจเลือดหลังรับการรักษา 3 เดือนและ 6 เดือน และนัดตรวจเลือดเป็นประจำทุกปี เพื่อติดตามอาการของซิฟิลิสและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ 
  • สำหรับผู้ป่วยที่แพ้ยาเพนิซิลลิน แพทย์อาจจะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตัวอื่นทดแทน

ทั้งนี้การใช้ยารักษาซิฟิลิสอาจจะมีผลข้างเคียง เช่น วิงเวียนศีรษะ เป็นไข้ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ผู้ติดเชื้อควรระมัดระวังและป้องกันให้ดี และควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าผลเลือดจะเป็นลบ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อซิฟิลิสไปยังผู้อื่น 


ซิฟิลิส รักษาให้หายขาดได้ไหม?

ซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบและเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยในปัจจุบันจะรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะตามดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งระยะเวลาและวิธีการรักษานั้นจะแตกต่างกันไปตามระยะของซิฟิลิสที่เป็นอยู่


ซิฟิลิสเสี่ยงโรคแทรกซ้อนอะไรบ้าง? ภัยเงียบที่อาจอันตรายถึงชีวิต

ผลกระทบจากซิฟิลิส

สำหรับผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษาซิฟิลิสที่เหมาะสม ปล่อยทิ้งไว้จนถึงระยะสุดท้ายนั้น อาจส่งผลถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ เนื่องจากการแพร่กระจายของเชื้อซิฟิลิสไปทำลายระบบต่าง ๆ ที่สำคัญของร่างกาย โดยเฉพาะระบบประสาท และระบบหัวใจ ส่งผลให้ระบบภายในล้มเหลวได้ ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่มักจะพบในกลุ่มผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสจะมีลักษณะอาการ ดังนี้

  • ประสาทสัมผัสการรับรู้ด้านการมองเห็น การได้ยินผิดปกติ อาจนำไปสู่การตาบอด หรือหูหนวก
  • โรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับระบบหัวใจ เช่น โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคเส้นเลือดแดงโป่งพอง และโรคหัวใจวาย
  • โรคกระดูกเสื่อมและข้อต่อผุบาง
  • โรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท เช่น ทำให้เกิดสภาวะสมองเสื่อม เป็นอัมพาต
  • เกิดตุ่ม หรือเนื้องอกกัมม่า (Gummas) ในระยะสุดท้ายของการติดเชื้อซิฟิลิส (Late stage of infection) มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่บนผิวหนัง หรือเกิดในอวัยวะภายใน เช่น กระดูก ตับ ซึ่งจะรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสมีโอกาสในการรับเชื้อ HIV ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแผลซิฟิลิสหรือรอยโรคต่าง ๆ เป็นช่องทางในการแพร่กระจายเชื้อ

วิธีการป้องกันซิฟิลิส ให้ห่างไกลจากโรค

วิธีการป้องกันซิฟิลิส

ในทางการแพทย์นั้น โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันเหมือนการฉีดวัคซีน HPV แต่เราสามารถป้องกันตนเองจากการติดเชื้อซิฟิลิสได้ โดยยึดหลักการมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัย เมื่อรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อซิฟิลิสก็ควรไปพบแพทย์ทันที นอกจากนี้ยังมีวิธีป้องกันซิฟิลิส ดังนี้

  • สวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการทำออรัลเซ็กส์ในบริเวณที่เป็นแผล
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย 
  • ไม่ใช้สารเสพติดหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีโอกาสที่จะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้ป้องกัน
  • งดการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิส
  • ตรวจสุขภาพประจำปี และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • สำหรับบุคคลที่ตั้งครรภ์ควรเข้าโปรแกรมฝากครรภ์ เพื่อตรวจเช็กซิฟิลิส

ซิฟิลิส ยิ่งตรวจพบเร็ว ก็รักษาหายขาดได้

ซิฟิลิส คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เป็นภัยเงียบ หากไม่ป้องกันอย่างถูกวิธี เชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum อาจเข้าสู่ร่างกายและแพร่กระจายไปยังระบบต่าง ๆ แม้ในระยะแรกอาจมีเพียงแผลริมแข็งที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บปวดและหายไปได้เอง แต่เชื้อก็ยังคงอยู่ในร่างกายและจะแสดงอาการในระยะที่ 2 หรือ 3 แบบรุนแรงขึ้น หากตรวจพบและเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซิฟิลิสก็สามารถหายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการ

โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ พร้อมดูแลให้คำปรึกษาและให้การรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางสำหรับผู้ที่มีความกังวลเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่เพียงแต่ซิฟิลิสเท่านั้น แต่ยังมีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคอื่น ๆ เช่น โรคHPV โรคเริมมะเร็งทวารหนัก หรือผู้ที่เสี่ยงต่อการติดต่อโรค เช่น หนองในตกขาว มีเชื้อราในช่องคลอด ก็สามารถมาปรึกษากับแพทย์ได้โดยตรง

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่


References

Syphilis. (2022, December 27). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/4622-syphilis

Syphilis. (2022, May 25). NHS. https://www.nhs.uk/conditions/syphilis/

Tudor, M. (2024, August 17). Syphilis. National Library of Medicine. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK534780/

About Syphilis. (2025, January 30). CDC. https://www.cdc.gov/syphilis/about/index.html

Syphilis. (2025, May 29). World Health Organization. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/syphilis

บทความและสุขภาพอื่นที่น่าสนใจ