บทความสุขภาพ

เริม โรคติดต่อกวนใจที่แพร่เชื้อได้หากไม่ป้องกัน

บทความโดย: seoteam seoteam วันที่อัพเดท: 4 กันยายน 2568

เริม

เริม เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยกว่า 3.7 พันล้านคนทั่วโลกที่ติดเชื้อเริมที่ปาก และอีก 491 ล้านคนทั่วโลกที่ติดเชื้อเริมบริเวณอวัยวะเพศ สถานการณ์การแพร่กระจายของเชื้อเริมทำให้องค์การอนามัยโลก หรือ WHO พยายามเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเริม และส่งเสริมความพยายามในการป้องกันการติดเชื้อ HIV สำหรับผู้ป่วยเริมบริเวณอวัยวะเพศด้วยการพัฒนาการเข้าถึงยา PrEP

ซึ่งเริมถือเป็นอีกหนึ่งโรคติดต่อที่ยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดแต่สามารถป้องกันการแพร่กระจายรวมถึงไปถึงการควบคุมความรุนแรงของโรคได้ บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคเริม ไม่ว่าจะเป็นประเภทของเริม, อาการของโรคเริม, วิธีการตรวจวินิจฉัย รวมไปถึงวิธีการรักษาและการป้องกันโรคเริม เพื่อให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคเริมที่อาจเป็นความเสี่ยงของการติดเชื้อแทรกซ้อนอย่าง HIV ได้ในอนาคต


สารบัญบทความ


เริม (Herpes Simplex Virus) คืออะไร?

เริม คือการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex ซึ่งสามารถติดต่อได้ทางเยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกายไม่ว่าจะเป็น เยื่อบุอวัยวะเพศ เยื่อบุช่องปาก หรือเยื่อบุตา เริมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือทางผิวหนังที่ยังไม่สามาถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสจะยังคงสะสมอยู่ในร่างกายและหากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลงก็จะทำให้อาการของเริมกำเริบขึ้นได้


โรคเริมมีกี่ประเภท?

ประเภทของเริม

เริม สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามเชื้อไวรัสที่ได้รับมาและลักษณะของการติดเชื้อ โดยเริมแต่ละประเภทมีรายละเอียดและสาเหตุในการติดเชื้อ ดังต่อไปนี้

Herpes simplex virus type I: HSV-1 

Herpes simplex virus type I หรือ HSV-1 เป็นประเภทของเริมที่มักจะพบการติดเชื้อบริเวณใบหน้า หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าเริมที่ปาก แต่บางกรณีก็อาจติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศได้เช่นกัน โดยสาเหตุของการติดเชื้อเริมประเภทนี้ เกิดขึ้นจากการสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโดนน้ำเหลืองจากตุ่มโรคเริม การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันกับผู้ป่วย หรือหากภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ก็อาจจะทำให้ติดเชื้อเริมประเภทนี้ได้เช่นเดียวกัน

Herpes simplex virus type II: HSV-2

Herpes simplex virus type II หรือ HSV-2 มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่าเริมที่อวัยวะเพศ ซึ่งเริมประเภทนี้จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่นเดียวกับโรคหนองใน หรือโรคซิฟิลิส ผู้ป่วยจะมีอาการคันและเกิดแผลพุพองบริเวณอวัยวะเพศ เช่น ถุงอัณฑะ, ปากมดลูก, ช่องคลอด หรือทวารหนัก โดยเชื้อไวรัส HSV-2 สามารถแพร่เชื้อได้ แม้ผู้ป่วยจะยังไม่แสดงอาการ


อะไรคือสาเหตุของการติดเชื้อเริม?

หลายคนสงสัยว่า เริมเกิดจากอะไร? โรคเริมเกิดจากการได้รับเชื้อไวรัส Herpes simplex ทั้งชนิด HSV-1 และ HSV-2 ที่สามารถติดต่อจากคนสู่คนด้วยการสัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยไวรัสทั้ง 2 ชนิดมีสาเหตุและรายละเอียดของการติดเชื้อที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

การติดเชื้อไวรัส HSV-1

เชื้อไวรัส HSV-1 เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดเชื้อได้ตั้งแต่ยังเป็นทารกหรือเป็นเด็กเล็ก เนื่องจากได้รับการสัมผัสจากผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการ อีกทั้งเชื้อไวรัส HSV-1 ยังสามารถแพร่กระจายสู่กันได้จากการจูบ การหอมแก้ม หรือการใช้งานของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้เป็นเริม นอกจากนี้การได้รับออรัลเซ็กส์ (Oral sex) จากผู้ที่ติดเชื้อเริมในปาก ก็จะทำให้เชื้อแพร่กระจายมายังอวัยวะเพศได้เช่นเดียวกัน

การติดเชื้อไวรัส HSV-2

เชื้อไวรัส HSV-2 ถือเป็นเชื้อไวรัสที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อไวรัสประเภทนี้จึงเกิดจากพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ระหว่างเพศชาย-หญิง หรือระหว่างเพศเดียวกัน รวมถึงการเสียดสีกันของอวัยวะเพศ นอกจากนี้ยังสามารถแพร่กระจายจากมารดาสู่ทารกได้ ทั้งจากการให้นมและการคลอดบุตรด้วยวิธีธรรมชาติในขณะที่มารดาติดเชื้อโรคเริมอยู่


เริม มีอาการอย่างไรบ้าง?

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเริม จะมีอาการหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 3-7 วัน โดยทั่วไปแล้ว โรคเริมจะมีอาการเริ่มต้นเป็นตุ่มน้ำหรือแผลตื้น ๆ บริเวณผิวหนังที่ติดเชื้อ จากนั้นประมาณ 2-6 สัปดาห์แผลจะค่อย ๆ แห้งและตกสะเก็ด โดยอาการของเริมมีรายละเอียดดังนี้

  • รู้สึกแสบร้อนหรือคันบริเวณที่จะเกิดตุ่ม : อาการเริ่มต้นของเริม มักจะเริ่มจากความรู้สึกยิบ ๆ หรือคันบริเวณที่กำลังจะเกิดตุ่ม
  • มีตุ่มน้ำใสเกิดขึ้น : หลังจากรู้สึกคันหรือเจ็บแสบแล้ว จะเริ่มมีตุ่มน้ำใสขนาดเล็กเกิดขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ หากปากเป็นเริมจะสังเกตเห็นได้ชัดเจน ส่วนเริมที่อวัยเพศ อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัดหรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย
  • มีไข้ ปวดเมื่อยตัว : ในบางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ปวดเมื่อยตัว หรือมีต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย
  • ตุ่มน้ำแตกและกลายเป็นแผล : ตุ่มน้ำใสจะแตกออกภายในไม่กี่วัน กลายเป็นแผลตื้น ๆ แสบ ๆ ที่มีเลือดซึมหรือมีน้ำเหลืองไหลออกมา
  • แผลตกสะเก็ด : เมื่อเวลาผ่านไป แผลจะค่อย ๆ แห้งและตกสะเก็ด โดยอาการเริมที่ปาก กี่วันหาย นั้น มักจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันและการดูแลของแต่ละบุคคล

อาการแทรกซ้อนจากเริม

อาการแทรกซ้อนจากโรคเริม

นอกจากเริมจะแสดงอาการบริเวณปากและอวัยวะเพศแล้ว เริมก็ยังสามารถทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ โดยจะเป็นภาวะแทรกซ้อนในการติดเชื้อและอักเสบบริเวณต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • การเกิดเริมที่นิ้ว เริมที่แขนหรือเริมที่ขา พบบ่อยในผู้ป่วยโรคเริมที่เป็นเด็กเล็ก เนื่องจากมักจะกัดหรืออมนิ้วมือตัวเองทำให้เชื้อไวรัสเริมที่ปากแพร่ไปยังบริเวณนิ้วมือแขนหรือขาได้
  • ติดเชื้อบริเวณดวงตา อาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการมองเห็นหรือร้ายแรงจนอาจทำให้ตาบอดได้
  • ติดเชื้อจากมารดาสู่ทารก หากในขณะคลอด ทารกติดเชื้อเริมจากบริเวณอวัยวะเพศของมารดาก็อาจจะทำให้ทารกพิการหรือเสียชีวิตได้
  • ติดเชื้อบริเวณสมอง การติดเชื้อบริเวณสมองเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเริมที่พบได้ไม่บ่อยแต่มีความรุนแรงมาก เพราะหากผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็จะทำให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจนอาจทำให้เสียชีวิตได้
  • ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายหรือเยื่อบุบริเวณทวารหนักอักเสบ หากผู้ป่วยมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักก็มีโอกาสที่เชื้อไวรัสเริมจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายและเยื่อบุทวารหนักอักเสบ
  • ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HSV มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV มากกว่าคนปกติถึง 3 เท่า
  • ผู้ป่วยเพศหญิงที่เคยติดเชื้อ Human Papillomavirus หรือ HPV แม้ว่าจะได้รับวัคซีน HPV แล้วแต่ถ้าติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศอีกก็จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูกสูงกว่าปกติถึง 2 เท่า

การตรวจวินิจฉัยเริม

การตรวจวินิจฉัยเริม เบื้องต้นแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยเริมด้วยวิธีการต่อไปนี้

  • หากสงสัยว่าผู้ป่วยจะติดเชื้อเริม แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจอาการเบื้องต้นและตรวจแผลพุพองหรือแผลตุ่มน้ำที่บริเวณผิวหนัง
  • หลังจากนั้นแพทย์จะทำการทดสอบว่า แผลบริเวณผิวหนังคือแผลจากการติดเชื้อเริมหรือไม่ด้วยการตรวจสอบทางแล็บปฏิบัติการ
  • การเจาะเลือด การตรวจวินิจฉัยเริมด้วยวิธีอาจจะไม่สามารถตรวจสอบได้หากผู้ป่วยเพิ่งได้รับเชื้อ อีกทั้งยังไม่สามารถระบุได้ว่าเชื้อไวรัสเริมที่ตรวจพบนั้นเป็นเชื้อไวรัสประเภทใด
  • การหาระดับภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัส เป็นการนำเซลล์ผิวจากแผลพุพองไปตรวจแอนติเจนของเชื้อไวรัสเริม แต่การตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีจะยังไม่สามารถระบุประเภทของเชื้อไวรัสได้เช่นเดียวกัน
  • การเจาะน้ำไขสันหลัง หรือ Lumbar Puncture เป็นการตรวจในกรณีที่แพทย์ประเมินว่าผู้ป่วยติดเชื้อที่สมอง หรือกระดูกสันหลังซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนของการติดเชื้อเริม
  • การขูดเอาเซลล์บริเวณแผลหรือตุ่มน้ำใสไปตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสหรือการทดสอบ PCR Test (Polymerase chain reaction) การตรวจวินิจฉัยเริมด้วยวิธีนี้เป็นการหาเชื้อไวรัสเริมที่มีความแม่นยำมากที่สุด อีกทั้งยังสามารถระบุชนิดของเชื้อไวรัสเริมได้อย่างถูกต้องอีกด้วย

เริม รักษาอย่างไร จะหายขาดไหม?

เมื่อผู้ป่วยโรคเริมได้รับเชื้อไวรัสแล้ว จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะเชื้อไวรัสจะยังคงแฝงตัวอยู่ในปมประสาท แต่ปัจจุบันความก้าวหน้าทางการแพทย์ได้พัฒนาการรักษาโรคเริมด้วยการบรรเทาความเจ็บปวด รวมไปถึงสามารถควบคุมความรุนแรงและการแพร่เชื้อได้ บทความนี้ได้รวบแนวทางการรักษาโรคเริม มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

  • กลุ่มยาต้านไวรัส HSV โดยประกอบไปด้วยยาแฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) หรือ ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) หากได้รับยากลุ่มต้านไวรัส HSV ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีอาการ ก็จะทำให้รอยโรคทางผิวหนังหายได้ไวขึ้น
  • กลุ่มยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) เป็นกลุ่มยารักษาเริมที่ช่วยแก้อาการปวด บวม แดง รวมไปถึงลดการอักเสบของร่างกายและลดไข้ได้ด้วย
  • กลุ่มยาระงับความเจ็บปวดชนิดรับประทาน เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือ ยาพาราเซตามอล (Paracetamol)
  • กลุ่มยาแก้ปวดชนิดทาหรือยาทาเริม เช่น ยาโดโคซานอล (Docosanal), ยาเบนโซเคน (Benzocaine), ยาไลซีน (L-lysine) หรือยามิวพิโรซิน (Mupirocin) เป็นต้น

เริม ป้องกันได้ไหม ควรดูแลตัวเองยังไงดี? 

โรคเริมสามารถป้องกันการติดเชื้อหรือการกลับมาเป็นซ้ำได้ โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับแผลเริมของผู้อื่น ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน หากมีเพศสัมพันธ์ ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อเริมที่อวัยวะเพศหญิงและชาย นอกจากนี้ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ และดูแลสุขภาพโดยรวมเพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสในการติดเชื้อเริม


ทำไมถึงกลับมาเป็นโรคเริมซ้ำได้?

โรคเริมเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้ขาดได้ หากถูกกระตุ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ก็จะทำให้เชื้อไวรัสที่แอบซ่อนอยู่เคลื่อนที่มายังปลายเส้นประสาทและแสดงอาการออกมาอีกครั้ง โดยอาการจะรุนแรงน้อยกว่าการเป็นเริมในครั้งแรก ผู้ป่วยบางรายมีเพียงตุ่มน้ำบริเวณผิวหนังที่เคยติดเชื้อเท่านั้น แต่อาจเพิ่มความเสี่ยงดื้อยาสูงขึ้น ผู้ที่เคยป่วยเป็นเริมที่ปากหรืออวัยเพศ จึงควรระวังปัจจัยต่อไปนี้ เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

  • ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ เช่น การอดนอน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงใกล้มีประจำเดือน เป็นต้น 
  • การเสียดสีผิวหนังที่เคยติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ อาจจะกระตุ้นการกลับมาเป็นเริมซ้ำได้ 
  • การเข้ารับการผ่าตัดที่ส่งผลโดยตรงต่อเส้นประสาท ก็จะกระตุ้นให้ไวรัส HSV เคลื่อนที่มายังปลายเส้นประสาทได้
  • การติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ หรือร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ
  • การได้รับยากดภูมิคุ้มกันประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ยาเพรดนิโซน (Prednisone) ที่เป็นยาในกลุ่มสเตียรอยด์ ยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) หรือยาดาคลิซูแมบ (Daclizumab) เป็นต้น

เริม โรคติดต่อที่ควรรีบพบแพทย์ ช่วยควบคุมอาการ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี 

ถึงแม้ว่าเริมจะเป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ถ้าหากรีบพบแพทย์ทันทีหลังจากมีอาการก็จะสามารถบรรเทาความเจ็บปวด รวมไปถึงสามารถควบคุมความรุนแรงและการแพร่เชื้อได้ ดังนั้นหากพบว่าตนเองมีตุ่มน้ำหรือแผลพุพอง ร่วมกับมีอาการคล้ายไข้หวัดให้รีบพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัยโรค

ใครที่ต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโรคเริมหรือกำลังมองหาโปรแกรมตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถติดต่อที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ได้เลย เพราะนอกจากจะมีคุณหมอคอยให้คำปรึกษาแล้ว ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ยังมีความพร้อมของอุปกรณ์เครื่องมือ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่จะช่วยวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่


References

5 Symptoms of genital herpes in man. (2021, September 5).Ending HIV. https://endinghiv.org.au/blog/symptoms-of-herpes-in-men/#

London, S. (2003). Cervical Cancer Risk Rises If Women with HPV Also Have Herpes Infection. International Perspectives on Sexual and Reproductive Health, 29(2): 97. https://www.guttmacher.org/journals/ipsrh/2003/06/cervical-cancer-risk-rises-if-women-hpv-also-have-herpes-infection

Mayo Clinic Staff. (2022, November 22). Genital herpes. Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/genital-herpes/symptoms-causes/syc-20356161

Herpes simplex virus. (2023). World Health Organization. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/herpes-simplex-virus

บทความและสุขภาพอื่นที่น่าสนใจ