ขลิบปลายอวัยวะเพศชาย ลดกลิ่น ลดโรค เสริมความมั่นใจ
การขลิบปลายอวัยวะเพศชาย สามารถทำได้ทุกวัย ช่วยให้ทำความสะอาดง่าย ไม่หมักหมมจนเกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น หนังหุ้มปลายอักเสบ มีกลิ่น ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ปัจจุบัน เชื้อ HIV และโรคเอดส์ยังคงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เป็นปัญหาใหญ่ด้านสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งแม้จะมีความพยายามในการรณรงค์ป้องกันต่อเนื่องมานานหลายปี แต่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ก็ยังคงสูงขึ้น หน่วยงานทางด้านสาธารณสุขจึงมุ่งหาวิธีควบคุมและลดจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งนอกเหนือจากวิธีป้องกันแบบดั้งเดิม เช่น การใช้ถุงยางอนามัย การมีคู่นอนคนเดียว หรือการไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่นแล้ว ทุกวันนี้ยังมีตัวช่วยใหม่ในการป้องกันเชื้อ HIV ที่ได้รับความนิยม นั่นคือ การรับประทานยา PEP และ PrEP คือยาต้านไวรัส ซึ่งช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ HIV ได้
โดยทั้งยา PrEP กับยา PEP ถือเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อ HIV แม้จะยังไม่ใช่ยาที่สามารถป้องกันได้แบบ 100% แต่ก็ถือเป็นตัวเลือกใหม่ที่ช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจและสบายใจมากขึ้นในการป้องกันการได้รับเชื้อ
สารบัญบทความ
PrEP และ PEP คือยาต้านไวรัส HIV ที่ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ แต่ยาทั้งสองแบบมีวิธีและการใช้ที่แตกต่างกัน ดังนี้
อย่างไรก็ตาม ยา PrEP ไม่สามารถป้องกันโรคอื่น ๆ อย่างหนองใน โรคซิฟิลิส หรือ HPV มะเร็งปากมดลูกได้
อย่างที่ได้ทราบไปแล้วว่า ยา PEP และยา PrEP เป็นตัวช่วยในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ HIV ได้ ซึ่งยาแต่ละชนิดนั้นก็เหมาะกับคนที่มีความเสี่ยงแตกต่างกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ยา PrEP เหมาะสำหรับคนดังต่อไปนี้
ยา PEP เหมาะสำหรับคนดังต่อไปนี้
ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) เป็นยาต้าน HIV ที่มีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับ โดยยา PrEP 1 เม็ดจะประกอบด้วยตัวยารวม 2 ชนิด (Fix Dose Communication) โดยเพื่อให้ยาสามารถใช้ได้และเห็นผลอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ผู้ใช้ควรที่จะต้องรับประทานยาอย่างถูกต้องตามวิธีและระยะเวลาที่เหมาะสม โดยในหัวข้อนี้ เราจะมาเจาะลึกกันว่าการรับประทานยา PrEP แต่ละประเภท มีหลักการอย่างไรบ้าง
สำหรับการใช้ยา PrEP ประเภท Daily PrEP นั้น คนที่จะเริ่มรับประทานยาชนิดนี้ควรจะต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสตับอักเสบบี รวมถึงการทำงานของตับและไตโดยการเจาะเลือด เพื่อเช็กความเหมาะสมของร่างกาย และการเลือกสูตรยาที่เหมาะสม โดยยา PrEP ชนิดนี้จำเป็นต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องทุกวันในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้อย่างเพียงพอ
โดยยา Daily PrEP ควรรับประทานอย่างน้อย 7 วันก่อนไปเจอความเสี่ยงหรือสัมผัสกับการติดเชื้อ และจะต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะพ้นจากความเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวกับการให้บริการทางเพศ (Sex Worker) ก็จะต้องรับประทานยา Daily PrEP เป็นประจำ ซึ่งหลังจากหมดความเสี่ยงแล้ว ยังควรรับประทานให้ต่อเนื่องอีกประมาณ 1 เดือน เพื่อป้องกันการติดเชื้อในช่วงเวลานั้น
การใช้ยา On Demand PrEP หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ยา on PrEP คือยา PrEP อีกประเภทที่มีวิธีรับประทานแตกต่างจากยา PrEP แบบแรก โดยวิธีรับประทานยาออนเพร็พคือ รับประทานยาล่วงหน้าประมาณ 2-24 ชั่วโมง ก่อนที่จะเจอหรือสัมผัสกับความเสี่ยงในการติดเชื้อ และหลังจากสัมผัสกับความเสี่ยงนั้น ๆ แล้วจะต้องรับประทานยาต่อเนื่องทุกวัน วันละ 1 เม็ด และรับประทานเป็นประจำต่อเนื่องอีกประมาณ 2 วันหลังจากหมดความเสี่ยงแล้ว เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้ออย่างเหมาะสม
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเพศสัมพันธ์ที่อาจไม่ปลอดภัยในคืนวันอาทิตย์ แนะนำให้รับประทานยา On Demand PrEP ครั้งแรกในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ 1 เม็ด และรับประทานทุกวันวันละ 1 เม็ดในเวลาเดียวกัน และถ้าไม่ได้มีโอกาสหรือความเสี่ยงที่จะมีเพศสัมพันธ์แล้วในวันอังคาร ก็ควรรับประทานต่อไปอีก 2 วัน คือวันพุธและวันพฤหัสบดี แล้วจึงหยุดรับประทานยา
นอกจากยา PrEP แล้ว อีกหนึ่งตัวช่วยในการป้องกันเชื้อ HIV คือ ยา PEP นั่นเอง โดยเพื่อให้ยา PEP มีประสิทธิภาพเต็มที่ในการป้องกันการติดเชื้อ HIV จึงควรรับประทานยาโดยเร็วที่สุดภายหลังจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยการรับประทานยายิ่งเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการป้องกันการติดเชื้อได้มากขึ้นเท่านั้น โดยการรับยา PEP ให้ได้ผลมากที่สุด ควรรับประทานยาในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังมีความเสี่ยง ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้มากกว่า 80%
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเริ่มรับประทานยา PEP นั้น ควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับระยะเวลาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้แพทย์พิจารณาได้อย่างถูกต้องว่ามีความจำเป็นในการรับยา PEP หรือไม่และควรรับประทานอย่างไร
ซึ่งแพทย์จะส่งตรวจ HIV ก่อน เพราะถ้าหากมีเชื้อเอชไอวีในร่างกายอยู่แล้วก่อนหน้านั้น ยา PEP จะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร นอกจากนี้แพทย์จะขอตรวจไวรัสตับอักเสบบี และการทำงานของตับและไตเพิ่มด้วย เนื่องจากยา PEP อาจมีผลต่อไตและตับ โดยหลังจากรับประทานยาครบ 28 วันแล้ว ขอแนะนำให้ทำการตรวจเลือดเพื่อค้นหาเชื้อ HIV อีกครั้งในช่วงเวลา 1 เดือนและ 3 เดือน ระหว่างรับยา PEP
ในช่วงเริ่มต้นของการใช้ยา PrEP และ PEP อาจเกิดผลข้างเคียงบางอย่างได้ โดยมักจะเกิดในช่วงแรกเมื่อเริ่มใช้ยา อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะเป็นเพียงระยะสั้นและไม่รุนแรงมากนัก โดยคนที่รับประทานยายังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ โดยมีผลข้างเคียงระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้
นอกจากนี้ ยังอาจมีผลข้างเคียงระยะยาว แต่พบเห็นได้ไม่บ่อยครั้ง ดังนี้
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติหรือรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการดูแลเพิ่มเติมโดยเร็ว
แม้เป็นตัวยาที่ประสิทธิภาพสูง แต่ทั้งยา PrEP และยา PEP ก็ยังไม่ใช่เกราะที่ป้องกันการติดเชื้อได้แบบ 100% ดังนั้น การใช้ถุงยางอนามัยควบคู่ไปด้วยหรือมีคู่นอนเพียงคนเดียว จึงสามารถลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น ประกอบกับการปรึกษาแพทย์และรับการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำไปสู่วิธีป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้อย่างดีที่สุด ซึ่งยาทั้งสองชนิดสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การรับประทานยา PrEP ตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัดและถูกต้องภายในระยะเวลาที่เหมาะสม จะทำให้ตัวยามีประสิทธิภาพในการช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ HIV โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ได้ถึง 99% ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพที่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยา PrEP ในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงจากการใช้เข็มฉีดยายังมีไม่มากนัก แต่จากการศึกษาในปัจจุบันพบว่า การรับประทานยา PrEP สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ลงได้อย่างน้อยประมาณ 74% หากได้รับยาครบตามคำแนะนำในการใช้ยา
นอกจากนี้ จากข้อมูลยังพบว่า มีการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยา PrEP จำนวนประมาณ 1 ล้านคนจากทั่วโลก พบว่ามีผู้ติดเชื้อ HIV ในจำนวนน้อยมาก เพียงประมาณ 20 รายเท่านั้น ซึ่ง 10 รายในจำนวนนี้เป็นคนที่ใช้ยา PrEP ชนิดเม็ด แบบรับประทาน (TDF/emtricitabine)
นอกจากยา PrEP แล้ว ยา PEP ก็มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HIV เช่นกันเมื่อใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งการเริ่มใช้ยา PEP เร็วที่สุดหลังจากการสัมผัสเชื้อ HIV เป็นสิ่งสำคัญ โดยประสิทธิภาพที่แท้จริงของยา PEP ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ยากต่อการวัดผล แต่การวิจัยแบบสังเกตการณ์มีข้อมูลว่ายา PEP สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ลงได้มากกว่า 80% หากรับประทานยา PEP เป็นประจำทุกวันเป็นระยะเวลา 28 วันติดต่อกัน และอาจมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าไม่มีการสัมผัสกับเชื้อเพิ่มเติม
สำหรับอัตราความล้มเหลวหรือความไม่สำเร็จจากการใช้ยา PEP พบว่า จากผู้รับยา 10 ราย มีจำนวนเพียง 1 รายเท่านั้นที่ติดเชื้อ HIV โดยคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 0.37% ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจมีสาเหตุเกิดจากการรับประทานยาที่ไม่เพียงพอ
เมื่อมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV หรือจำเป็นต้องป้องกันโรคเอดส์ในกรณีฉุกเฉิน เราสามารถติดต่อขอรับยา PrEP และยา PEP ได้จากที่ไหนบ้าง?
โดยไม่ว่าจะรับยา PrEP และยา PEP ที่สถานที่ใดในข้างต้นก็ตาม ขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อประเมินความเสี่ยง ตรวจเลือดหาเชื้อ HIV เพื่อตรวจการทำงานของตับและไต จากนั้น แพทย์จึงจะสั่งยาและอธิบายวิธีการรับประทานให้อย่างเหมาะสม
ยา PrEP และยา PEP เป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ HIV โดย PrEP สามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ HIV ล่วงหน้า โดยป้องกันเชื้อที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ได้ถึง 99% เมื่อใช้ตามที่รับประทาน ในขณะที่ PEP ก็เป็นอีกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพหลังจากการสัมผัสกับสิ่งที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ HIV ได้มากกว่า 80%
สำหรับใครที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PrEP และ PEP หาที่ฉีดวัคซีน HPV หรือเรื่องสุขภาพอื่น ๆ สามารถติดต่อได้ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ ซึ่งมีทีมแพทย์มีความเชี่ยวชาญและพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถติดต่อผ่าน Line : @samitivejchinatown หรือโทร 02-118-7893
References
CDC. (2019). PrEP. Centers for Disease Control and Prevention. https://www.cdc.gov/hiv/basics/prep.html
NHS. (2023, March 13). About Pre-Exposure Prophylaxis (PrEP). Nhs.uk. https://www.nhs.uk/medicines/pre-exposure-prophylaxis-prep/about-pre-exposure-prophylaxis-prep/
NIH. (2021, August 10). Pre-Exposure Prophylaxis (PrEP) | NIH. Hivinfo.nih.gov. https://hivinfo.nih.gov/understanding-hiv/fact-sheets/pre-exposure-prophylaxis-prep
เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ แสดงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเว็บไซต์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)