บทความสุขภาพ

การตรวจ HIV จำเป็นหรือไม่ มีวิธีการตรวจอย่างไร รวบรวมคำตอบไว้ที่นี่

บทความโดย: seoteam seoteam วันที่อัพเดท: 15 พฤษภาคม 2567

ตรวจ HIV

เชื้อ HIV หรือ Human Immunodeficiency Virus เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ ซึ่งหากติดเชื้อ HIV แล้ว เชื้อจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องจนเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ ปัจจุบันการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV นั้นทำได้เพียงการตรวจ HIV เท่านั้น ซึ่งหากตรวจพบเร็วก็สามารถทานยาต้านไวรัสและดูแลสุขภาพเพื่อส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันได้

บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับการตรวจ HIV ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการตรวจ HIV, กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจ HIV, ขั้นตอนการตรวจ, ค่าใช้จ่าย และข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ จะมีข้อมูลอะไรบ้างไปดูกันเลย


สารบัญบทความ


การตรวจ HIV คืออะไร? สามารถตรวจที่ไหนได้บ้าง

การตรวจ HIV คือการนำสารคัดหลั่งจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการขูดเซลล์จากช่องปาก หรือเจาะเลือดไปตรวจหาเชื้อ HIV ในห้องปฏิบัติการ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีบริการตรวจ HIV ตามสถานพยาบาลต่าง ๆ รวมไปถึงคลินิกนิรนาม สภากาชาดไทย โดยผู้เข้ารับการตรวจไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว 

อีกทั้งปัจจุบันผู้ที่สงสัยว่าตนเองจะมีความเสี่ยงในการรับเชื้อ HIV ก็สามารถหาซื้อชุดตรวจ HIV ด้วยตนเองที่ร้านขายยา เพื่อมาทำการตรวจด้วยตนเองได้ โดยหากได้ผลบวกก็ยังต้องเข้ารับการตรวจในสถานพยาบาลซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันผลและเข้ารับการรักษาต่อไป


ทำไมเราถึงควรตรวจ HIV?

การตรวจ HIV เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะช่วยวินิจฉัยได้ว่าผู้เข้ารับการตรวจนั้นได้รับเชื้อ HIV หรือไม่ หากพบเชื้อ HIV และเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องทันที ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยลดความกังวลใจและยังสามารถดูแลสุขภาพ รวมไปถึงสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อลดความเสี่ยงที่ระบบภูมิคุ้มกันจะถูกทำลายจนนำไปสู่การเป็นผู้ป่วยเอดส์อย่างเต็มขั้นและอาจเกิดโรคแทรกซ้อนจากเอดส์ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคเริม โรคมะเร็ง หรือวัณโรค เป็นต้น ดังนั้นการตรวจ HIV จึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นมากสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงหรือสงสัยว่าตนจะได้รับเชื้อ HIV 


รูปแบบการตรวจ HIV มีกี่รูปแบบแต่ละแบบต่างกันอย่างไร

ปัจจุบันความก้าวหน้าทางการแพทย์ได้พัฒนาให้มีวิธีการตรวจ HIV หลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการตรวจ ระยะความเสี่ยงที่สามารถตรวจพบเชื้อรวมไปถึงระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจต่างกันดังนี้

การตรวจในรูปแบบ Anti-HIV

การตรวจในรูปแบบ Anti-HIV เป็นการตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเมื่อพบว่าได้รับเชื้อ HIV สามารถตรวจพบเชื้อ HIV ด้วยวิธีนี้ได้หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 4 สัปดาห์ หลังจากทำการตรวจสามารถทราบผลได้ภายใน 1-2 ชั่วโมง 

การตรวจในรูปแบบหาแอนติเจนในเชื้อ HIV 

การตรวจในรูปแบบหาแอนติเจนในเชื้อ HIV เป็นการตรวจโปรตีนของเชื้อ p24 Antigen การตรวจรูปแบบนี้เป็นการตรวจการติดเชื้อ HIV ในระยะแรกหรือระยะเฉียบพลัน โดยสามารถตรวจด้วยวิธีนี้หลังจากได้รับเชื้อ 14-15 วันซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายของผู้ติดเชื้อยังไม่สร้างแอนติบอดี หรือมีแอนติบอดีต่ำจนไม่สามารถตรวจวัดด้วยวิธีอื่น ๆ ได้

การตรวจในรูปแบบ NAT (Nucleic Acid Testing)

การตรวจในรูปแบบ NAT (Nucleic Acid Testing) เป็นการตรวจติดตามปริมาณของเชื้อไวรัสก่อนและหลังการรักษา HIV จะใช้วิธีนี้กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ HIV และตรวจคัดกรองเลือดจากผู้บริจาคโลหิต การตรวจรูปแบบนี้เป็นการตรวจที่มีความรวดเร็วมากที่สุด สามารถตรวจพบเชื้อ HIV ได้ตั้งแต่ 3-7 วันหลังจากได้รับเชื้อ

การตรวจในรูปแบบ Rapid HIV Test

การตรวจในรูปแบบ Rapid HIV Test เป็นการตรวจ HIV ที่ใช้คัดกรองเบื้องต้น โดยใช้เวลาทราบผลหลังตรวจเพียง 20 นาที แต่ถ้าหากอ่านผลการตรวจแล้วเป็นบวกหรือพบว่าติดเชื้อผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการตรวจซ้ำอีกครั้งด้วยวิธีการตรวจแบบ Anti-HIV หรือ NAT เพื่อทำการยืนยันว่าผู้ป่วยติดเชื้อ HIV จริง


ควรตรวจ HIV หลังจากเสี่ยงกี่วันถึงจะได้ผลที่แม่นยำ

การตรวจ HIV ควรตรวจหลังจากมีความเสี่ยง 2-4 สัปดาห์ เนื่องจากการตรวจเร็วเกินไปก็อาจจะทำให้ยังไม่พบเชื้อ แต่ถ้าตรวจช้าเกินไปก็อาจจะทำให้เชื้อทำลายระบบภูมิคุ้มกันจนเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นได้


ใครบ้างที่ควรตรวจ HIV?

การตรวจ HIV ไม่ได้จำเป็นเฉพาะผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันเท่านั้นแต่ยังมีกลุ่มเสี่ยงอื่น ๆ ที่ควรจะตรวจ HIV ด้วยเช่นกัน โดยมีกลุ่มคนที่ควรตรวจ HIV ดังต่อไปนี้

  1. ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนบุคคลอื่น หรือคนที่ติดเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยาง
  2. ผู้ที่ติดสารเสพติด เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะใช้เข็มร่วมกัน
  3. ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ 
  4. หญิงตั้งครรภ์ที่เข้ารับการฝากครรภ์
  5. ผู้ป่วยที่ติดเชื้อหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 
  6. บุคลากรทางการแพทย์ที่เกิดอุบัติเหตุจากหัตถการที่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ HIV 
  7. ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV 
  8. ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ

เตรียมตัวก่อนตรวจ HIV อย่างไรให้ผลตรวจแม่นยำ

การตรวจ HIV นั้นไม่ได้มีวิธีการเตรียมตัวที่ยุ่งยากหรือซับซ้อน เพียงแต่ต้องสำรวจตัวเองและทำการจองคิวเข้ารับการตรวจในสถานพยาบาลหรือสถาบันที่ให้บริการ โดยมีรายละเอียดการเตรียมตัวสำหรับการเข้ารับการตรวจ HIV ดังนี้

  • ผู้เข้ารับการตรวจเชื้อ HIV จะต้องทบทวนตนเองและประเมินความเสี่ยงว่า ตนเองนั้นมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อมาแล้วกี่วัน เพราะวิธีการตรวจ HIV แต่ละรูปแบบจะเหมาะกับระยะของความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ที่แตกต่างกัน
  • หลังจากสำรวจตนเองแล้วผู้เข้ารับการตรวจ HIV จะต้องแจ้งแพทย์หรือพยาบาลเกี่ยวกับความเสี่ยงของตนเองเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยหาวิธีการตรวจ HIV ที่เหมาะสมกับระยะเวลาที่เสี่ยงได้รับเชื้อ
  • ก่อนการตรวจ HIV ผู้ตรวจควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อให้ผลตรวจแม่นยำขึ้นและไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหาร แต่ควรงดชา กาแฟ และน้ำหวาน
  • นำบัตรประชาชนไปด้วยทุกครั้ง เนื่องจากต้องใช้เป็นเอกสารสำหรับสถานพยาบาลที่จะเข้ารับการตรวจ
  • หลังจากตรวจ HIV แล้วทำใจให้สบาย เตรียมพร้อมสำหรับการฟังผลตรวจ

ขั้นตอนการตรวจ HIV

ขั้นตอนการตรวจ HIV จะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีถึง 1 ชั่วโมง โดยจะมีขั้นตอนการตรวจดังต่อไปนี้

  1. แพทย์จะทำการสอบถามประวัติเพื่อประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น หากพบว่ามีความเสี่ยงแพทย์จะแนะนำวิธีการตรวจที่เหมาะสมต่อไป 
  2. ผู้เข้ารับการตรวจ HIV จะต้องเซ็นเอกสารยินยอมเพื่อเข้ารับการตรวจ โดยเอกสารยินยอมจะมีข้อมูลและรายละเอียดสำคัญเช่น ชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่, ข้อมูลติดต่อ, ความประสงค์ที่ต้องการเข้ารับการตรวจ HIV เป็นต้น
  3. แพทย์จะเจาะเลือกบริเวณข้อพับแขนและนำเข้าไปตรวจวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ 
  4. แพทย์จะนัดวันมาฟังผล โดยจะแนะนำความหมายของผลตรวจ และการวางแผนการดูแลตนเองหากตรวจพบเชื้อ โดยสามารถรับสิทธิ์การรักษา HIV ฟรีในโรงพยาบาลภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพ

สำรวจขั้นตอนการตรวจ HIV ด้วยตนเอง 

ปัจจุบันมีการตรวจ HIV ด้วยตัวเองโดยการใช้ชุดตรวจ HIV โดยมีวิธีใช้งานชุดตรวจ HIV ด้วยตนเองและตัวอย่างชุดตรวจ HIV ที่จำหน่ายในประเทศไทยดังนี้

  • การตรวจ HIV ด้วยตนเองด้วยชุดตรวจแบบเจาะปลายนิ้ว
    • เปิดอุปกรณ์ ขวดน้ำยาและวางชุดตรวจบนพื้นที่เรียบ
    • นวดคลึงบริเวณปลายนิ้วและใช้มือข้างที่ถนัดนำเข็มที่อยู่ในชุดตรวจวางแนบกับปลายนิ้วจากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือกดที่ปลายอุปกรณ์ เมื่อได้ยินเสียงคลิกให้บีบไล่เลือดให้มีขนาดใหญ่และหยดลงในขวดน้ำยาสีแดง 1 หยด
    • ทำการอ่านผลการทดสอบตามคู่มือการใช้งาน
       
  • การตรวจ HIV ด้วยตนเองด้วยชุดตรวจจากน้ำลายในช่องปาก
    • เก็บตัวอย่างน้ำลาย โดยป้ายแผ่นป้ายไปที่บริเวณซอกเหงือกด้านบนและด้านล่าง 1 รอบ โดยแผ่นป้ายจะต้องอยู่ภายในช่องปากตลอดเวลา จากนั้นนำแผ่นป้ายใส่ลงในหลอดน้ำยาทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นอ่านผลตรวจ
    • หากผลตรวจเป็นไม่ว่าจะชัดเจนหรือไม่ผู้ตรวจจะต้องตรวจ HIV ซ้ำที่สถานพยาบาลเพื่อยืนยันอีกครั้ง
       
  • ตัวอย่างที่ตรวจ HIV ด้วยตนเองที่จำหน่ายในประเทศไทย สามารถหาซื้อชุดตรวจ HIV ที่ร้านขายยา หรือสามารถขอรับชุดตรวจซิฟิลิส และชุดตรวจ HIV ฟรีที่หน่วยบริการสุขภาพใกล้บ้าน
    • ยี่ห้อ INSTI เป็นแบบเจาะปลายนิ้ว ราคา 400 บาท
    • ยี่ห้อ ICARE เป็นแบบเจาะปลายนิ้ว ราคา 300 บาท
    • ยี่ห้อ Accufast เป็นแบบเจาะปลายนิ้ว ราคา 350 บาท
    • ยี่ห้อ PR Self Tests เป็นชุดตรวจจากน้ำในช่องปาก ราคา 350 บาท
    • ยี่ห้อ ORAQUICK เป็นชุดตรวจจากน้ำในช่องปาก ราคา 250 บาท

แนะนำวิธีการอ่านผลตรวจ HIV มีผลตรวจกี่แบบ? เช็กเลย!

การอ่ารผลตรวจ HIV

ผลตรวจ HIV มี 4 รูปแบบ ดังนี้

  1. ผลเลือดเป็นบวก หรือ Reactive หมายถึงพบเชื้อ HIV ในเลือดของผู้เข้ารับการตรวจ 
  2. ผลเลือดเป็นลบ หรือ Non-reactive หมายถึงไม่มีเชื้อ หรืออาจจะยังไม่พบเชื้อ เนื่องจากเชื้ออาจจะอยู่ในระยะฟักตัว ควรจะมาตรวจซ้ำอีกครั้งภายใน 3-6 เดือน ระหว่างนี้หากมีเพศสัมพันธ์ต้องป้องกันด้วยถุงยางอนามัยเนื่องจากอาจจะยังแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้
  3. ผลเลือดเป็น Invalid หมายถึงมีผล HIV เป็นบวกแต่ไม่พบเชื้อดังนั้นจึงไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ แต่ยังต้องทานยาอย่างสม่ำเสมอ
  4. ผลการวินิจฉัยผิดพลาด ในบางครั้งการตรวจ HIV ก็อาจจะมีโอกาสที่ผลการวินิจฉัยอาจจะเกิดความผิดพลาดได้ โดยการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV ผิดพลาดนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
    • ผลบวกลวง (False positivity) อาจเกิดจากเลือกของผู้เข้ารับการตรวจมีแอนติบอดีบางชนิดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี 
    • ผลลบลวง (False negativity) อาจเกิดจากสารพันธุกรรม แอนติเจน หรือแอนติบอดีของเชื้อเอชไอวียังไม่สามารถตรวจพบได้จากชุดการตรวจ

วิธีการดูแลตนเองหลังตรวจ HIV 

หลังจากทราบผลการตรวจ HIV แล้ว ไม่ว่าผลตรวจเป็นบวกหรือลบก็จะมีวิธีการดูแลตนเองที่แตกต่างกันไป โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • ผลการตรวจ HIV เป็นบวก ผู้ป่วยควรเริ่มรักษาทันที โดยควรจะเริ่มรับประทานยาต้าน HIV อย่างเคร่งครัดและตรงเวลา เพื่อให้ยาชะลอการลุกลามของเชื้อ HIV ป้องกันระบบภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น อีกทั้งผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามอาการ นอกจากนี้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ด้วยการรับประทานอาหารปรุงสุกที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ดูแลสุขภาพจิตให้ดี เลิกสูบบุหรี่และเลิกใช้สารเสพติด
  • ผลการตรวจ HIV เป็นลบ ผู้เข้ารับการตรวจจะต้องกลับมาตรวจซ้ำอีกครั้งในช่วง 3-6 เดือน เนื่องจากการที่ผลตรวจเป็นลบ อาจหมายถึงเชื้ออยู่ในระยะฟักตัวจึงทำให้ตรวจไม่พบแอนติเจนหรือแอนติบอดีของเชื้อ HIV ได้ ระหว่างตรวจซ้ำผู้เข้ารับการตรวจจะต้องป้องกันการแพร่เชื้อและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ตรวจเชื้อ HIV ราคาเท่าไร?

การตรวจ HIV มีราคาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับรูปแบบวิธีการตรวจและสถานพยาบาลที่เลือก โดยบทความนี้ได้รวบรวมราคาโดยประมาณของการตรวจ HIV โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. ตรวจด้วยที่ตรวจ HIV ด้วยตนเอง ราคาของชุดตรวจจะอยู่ที่ 200-500 บาทแล้วแต่ยี่ห้อ
  2. ตรวจด้วยวิธี Rapid HIV Test ราคาเริ่มต้นที่ 800 บาท
  3. ตรวจด้วยวิธี NAT (Nucleic Acid Testing) ราคาเริ่มต้นที่ 4,000 บาท
  4. ตรวจด้วยวิธี HIV Viral Load (VL) ราคาเริ่มต้นที่ 4,000 บาท
  5. ตรวจด้วยวิธี CD4 ราคาเริ่มต้นที่ 1,000 บาท
  6. ตรวจ HIV ที่คลินิกนิรนาม สภากาชาดไทยสามารถตรวจฟรีได้ปีละ 2 ครั้ง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจ HIV

ทำความรู้จักกับการตรวจ HIV ไปแล้วหลาย ๆ คนอาจจะยังมีคำถามบางข้อเกี่ยวกับการตรวจ HIV ซึ่งเราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจ HIV มาฝากทุกคนแล้ว จะมีคำถามอะไรบ้างไปดูกันเลย

การตรวจ HIV เจ็บไหม?

การตรวจ HIV ในสถานพยาบาลจะใช้วิธีเจาะเลือดซึ่งเป็นวิธีเดียวกับการตรวจสุขภาพทั่วไป หรือหากเป็นการตรวจ HIV ด้วยตนเองโดยการเจาะปลายนิ้วหรือใช้น้ำลายก็จะไม่มีอาการเจ็บปวด อีกทั้งยังเกิดผลข้างเคียงได้น้อยมาก

ใช้เวลากี่วันถึงจะรู้ผลการตรวจ HIV?

การตรวจ HIV นั้นจะใช้เวลาในกระบวนการตรวจ 1 วัน แต่ระยะเวลาที่จะทราบผลนั้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรูปแบบการตรวจที่ใช้ รวมไปถึงสถานพยาบาลที่เข้ารับการตรวจ ดังนั้นผู้เข้ารับการตรวจสามารถสอบถามจากสถานพยาบาลโดยตรงถึงเวลาที่ใช้ในการตรวจ


สรุปเรื่อง ตรวจ HIV วิธีป้องกันความเสี่ยงจากเชื้อ HIV สาเหตุหลักของโรคเอดส์

การตรวจ HIV เป็นขั้นตอนการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV ที่หลาย ๆ คนมองข้าม เนื่องจากมีความเข้าใจผิดว่าหากร่างกายแข็งแรงจะหมายถึงไม่ได้ติดเชื้อ HIV ทำให้เมื่อตรวจพบเชื้อก็มักจะมีอาหารแทรกซ้อนหรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจนกลายเป็นผู้ป่วยเอดส์ แต่หากทำการตรวจ HIV ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะเป็นการป้องกันเชื้อ HIV ให้กับทั้งตนเองและคู่นอนอีกทั้งหากพบเชื้อก็สามารถรักษาได้ทันทีอีกด้วย

ใครที่ต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจ HIV หรือกำลังมองหาโปรแกรมตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถติดต่อที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ได้เลย เพราะเรามีแพทย์คอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลตนเองและการตรวจ HIV พร้อมทั้งมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ต่าง ๆ พร้อมให้บริการ หากสนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่เบอร์ 02-118-7893 หรือ Line : @samitivejchinatown ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


References
 

Barton, J. (2022). HIV Testing is Self-Care: Taking the Test is Taking Care of You .https://www.nachc.org/hiv-testing-is-self-care-taking-the-test-is-taking-care-of-you/

Center of Disease Control and Prevention. (2022). What types of tests are available, and how do they work?. https://www.cdc.gov/hiv/basics/hiv-testing/test-types.html

World Health Organization. (2023). HIV and AIDS.https://www.who.int/teams/global-hiv-hepatitis-and-stis-programmes/hiv/testing-diagnostics

บทความและสุขภาพอื่นที่น่าสนใจ
pdpa-icon

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ แสดงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเว็บไซต์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว​ (Privacy Policy)​