บทความสุขภาพ

ข้อควรระวัง! กระดูกเชิงกรานหัก ความเสี่ยงที่ทุกคนมีโอกาสเจอ

บทความโดย: วันที่อัพเดท: 26 มีนาคม 2567

บางคนอาจเข้าใจว่า ภาวะกระดูกเชินกรานหัก หรือกระดูกเชิงกรานร้าว มีเพียงวัยสูงอายุเท่านั้นที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะผู้สูงอายุเป็นวัยที่ร่างกายต้องเผชิญเกี่ยวกับความเสื่อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระดูกสะโพกหัก ภาวะข้อไหล่หลุด หรือโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ 

แต่ในความเป็นจริง การที่เรามักพบภาวะกระดูกเชิงกรานหักในผู้สูงอายุบ่อยๆ อาจไม่ได้หมายความว่า วัยอื่นจะไม่มีโอกาสเสี่ยงเลย เพราะภาวะกระดูกเชิงกรานหัก เป็นภาวะที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับช่วงวัยเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ด้วย

ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องภาวะกระดูกเชิงกรานหัก ตั้งแต่กระดูกเชิงกรานหัก คืออะไร บริเวณส่วนไหนของร่างกาย การที่กระดูกเชิงกรานหัก วิธีรักษามีอะไรบ้าง รวมไปจนถึงเรื่องสำคัญอย่างเช่น หากพบผู้ที่เข้าข่ายกระดูกเชิงกรานหัก การพยาบาลเบื้องต้นสามารถทำอย่างไรได้บ้าง เป็นต้น


สารบัญบทความ
 


กระดูกเชิงกรานหัก (Pelvis Fracture) 

กระดูกเชิงกรานหัก (Pelvis Fracture) คือ ภาวะที่เกิดการแตกหักของกระดูกที่เชื่อมต่อกัน อย่างน้อย 1 ชิ้น ซึ่งมีรูปแบบการแตกหักของกระดูกเชิงกราน ดังนี้
 

  1. กระดูกหักแบบไม่มีแผล (Closed Fracture) หรือ กระดูกหักแบบมีแผลเปิด (Open หรือ Compound Fracture)
  2. กระดูกหักโดยสมบูรณ์ (Complete Fractures)
  3. กระดูกหักและเคลื่อนที่ไปจากเดิม (Displaced Fractures)
  4. กระดูกหักบางส่วน (Partial Fractures)
  5. กระดูกหักจากความเครียด (Stress fractures)

อีกทั้งยังมีการแบ่งประเภทของกระดูกเชิงกรานหักออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่…
 

  • กระดูกเชิงกรานหักแบบคงที่ (Stable pelvic fracture)

กระดูกเชิงกรานหักแบบคงที่ (Stable pelvic fracture) คือ การที่กระดูกเชิงกรานหักเพียงจุดเดียว ไม่เกิดการเคลื่อนที่ของกระดูก ณ บริเวณที่หัก โดยกระดูกเชิงกรานหักประเภทนี้ มักพบได้ในอุบัติเหตุที่มีการกระทบกระเทือนต่ำ เช่น การหกล้ม การวิ่ง เป็นต้น
 

  • กระดูกเชิงกรานหักแบบไม่คงที่ (Unstable pelvic fracture)

กระดูกเชิงกรานหักแบบไม่คงที่ (Unstable pelvic fracture) คือ การที่กระดูกเชิงกรานหักตั้งแต่ 2 จุดขึ้นไป จึงทำให้กระดูก ณ บริเวณที่หัก เกิดการเคลื่อนที่จากตำแหน่งเดิม ซึ่งกระดูกเชิงกรานหักประเภทนี้ มักพบในอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ได้รับการกระทบกระเทือนค่อนข้างมาก เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นต้น


กระดูกเชิงกราน คืออะไร 

กระดูกเชิงกราน เป็นบริเวณที่อยู่ในส่วนปลายสุดของกระดูกสันหลังและเป็นส่วนหนึ่งของโครงกระดูกรยางค์ ประกอบไปด้วยกระดูกที่เชื่อมต่อกัน ได้แก่ กระดูกใต้กระเบนเหน็บ (Sacrum) กระดูกก้นกบ (Coccyx) และกระดูกสะโพก (Hip bone) 

ภายในกระดูกสะโพก สามารถแบ่งออกมาได้เป็นกระดูกย่อย 3 ชิ้น ได้แก่ กระดูกปีกสะโพก (Ilium) กระดูกก้น(Ischium) และกระดูกหัวหน่าว (Pubis) โดยทั้งหมดนี้จะเชื่อมต่อกันจนกลายมาเป็นโครงสร้างร่างกายของเรานั่นเอง

กระดูกเชิงกราน ทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะภายในร่างกาย อย่างเช่น มดลูก รังไข่ ลำไส้ใหญ่ตอนปลาย เส้นประสาทต่างๆ หลอดเลือด ท่อปัสสาวะ หรือกระเพาะปัสสาวะ ไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนหรืออวัยวะภายในได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการควบคุมการเคลื่อนไหวของขาด้วย


กระดูกเชิงกรานหักเกิดจากสาเหตุใด 

โดยทั่วไปแล้ว การที่กระดูกเชิงกรานร้าวหรือกระดูกเชิงกรานหัก มักจะเกิดจาก 2 สาเหตุหลัก ดังนี้
 

1. อุบัติเหตุ

การเกิดอุบัติเหตุรุนแรง อย่างเช่น การพลัดตกจากที่สูง การเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ การได้รับแรงกระแทกบริเวณสะโพกอย่างมาก การถูกทำร้ายร่างกาย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อภาวะกระดูกเชิงกรานแตกโดยตรง เพราะถึงแม้ว่ากระดูกจะแข็งแรงเพียงใด แต่ถ้าหากมีแรงมากระทบกระเทือนบริเวณนั้นอย่างมาก ก็อาจจะทำให้กระดูกรองรับไม่ไหว จนเกิดการแตกหักขึ้นได้

อุบัติเหตุ เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ก่อนเลยว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด จึงทำให้สาเหตุนี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย เราควรต้องระมัดระวังตนเองในการใช้ชีวิต เพื่อความปลอดภัยมากขึ้น 
 

2. ภาวะกระดูกพรุน

ภาวะกระดูกพรุน เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยในกลุ่มวัยสูงอายุ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ทำให้กระดูกมีความแข็งแรงลดลง ส่งผลให้กระดูกเปราะบาง แตกหักได้ง่าย เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ที่อาจทำให้เกิดการกระทบกระเทือนตรงบริเวณกระดูกเชิงกรานเพียงเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น การที่ผู้สูงอายุเกิดการหกล้มภายในบ้าน โดยบริเวณสะโพกได้รับการกระแทกกับพื้นโดยตรง เป็นต้น

ดังนั้น หากผู้สูงอายุเกิดการหกล้มหรือเกิดเหตุการณ์ที่สงสัยได้ว่า เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณสะโพก กระดูกเชิงกรานขึ้น ไม่ควรละเลยที่จะเข้ารับการตรวจร่างกาย เพื่อตรวจสภาพกระดูกภายในว่าได้รับผลกระทบหรือไม่


อาการกระดูกเชิงกรานหัก 

ผู้ที่มีภาวะกระดูกเชิงกรานหัก จะมีอาการดังต่อไปนี้
 

  • รู้สึกปวดบริเวณกระดูกเชิงกรานเป็นอย่างมาก
  • ปวดบริเวณท้อง ขาหนีบ ปวดสะโพก หรือหลังส่วนล่าง หลังจากเกิดอุบัติเหตุ
  • ไม่สามารถขยับร่างกาย ยืน เดิน ได้สะดวกเหมือนปกติ
  • พบว่ามีอาการปวดรุนแรงมากขึ้น เมื่อเดินหรือขยับขา
  • พบความยากลำบากในการขับถ่ายต่างๆ เช่น การปัสสาวะ อุจจาระ
  • เมื่อพยายามจะนั่ง รู้สึกเจ็บบริเวณก้นอย่างรุนแรง
  • จู่ๆเกิดอาการชา เสียวซ่า ที่บริเวณขาหนีบหรือขา

ใครเสี่ยงกระดูกเชิงกรานหัก 

กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดกระดูกเชิงกรานหัก มีดังต่อไปนี้
 

  • ผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน
  • บุคคลที่ได้รับอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม รถชน พลัดตกจากที่สูง
  • บุคคลที่อยู่ในวัยกลางคนไปจนถึงวัยสูงอายุ
  • ผู้ที่สมาชิกภายในครอบครัวมีประวัติเคยเป็นภาวะกระดูกพรุน กระดูกหัก 
  • คนที่มีโครงสร้างกระดูกร่างกายค่อนข้างเล็ก รูปร่างผอมบาง
  • คนที่ขาดแคลเซียม หรือปริมาณแคลเซียมภายในร่างกายไม่เพียงพอ
  • กลุ่มที่ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ
  • มีโรคประจำตัว หรือเกิดภาวะต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบ ข้อสะโพกเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม 
  • คนที่ได้รับผลข้างเคียงจากยาหรือสารเคมีที่มีผลต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน
  • บุคคลที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย 
  • ผู้ที่ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน

กระดูกเชิงกรานหัก..อันตรายถึงชีวิตไหม 

ภาวะกระดูกเชิงกรานหัก เป็นภาวะที่ฟังแล้วน่ากังวลสำหรับคนทั่วไป จนทำให้หลายๆคนอาจสงสัยว่า “หากกระดูกเชิงกรานหัก จะอันตรายถึงชีวิตไหม?”

คำตอบก็คือ การที่จะอันตรายถึงชีวิตไหม ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระดับความรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นขณะกระดูกเชิงกรานหัก การบาดเจ็บของระบบอื่นๆ เป็นต้น 

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า อัตราการเสียชีวิต 13.5% มาจากการที่ผู้ป่วยมีอาการบาดเจ็บหรือเกิดการเสียหายในหลายๆระบบ ยิ่งมีบริเวณจุดที่ได้รับการบาดเจ็บเยอะเท่าไหร่ ก็จะทำให้อัตราการรอดชีวิตเหลือน้อยลงเท่านั้น ส่วนผู้ที่มีภาวะกระดูกเชิงกรานหักเพียงอย่างเดียว มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 0.5%-0.8% 

ดังนั้น หากสงสัยว่ามีภาวะกระดูกเชิงกรานหัก หรือพบผู้ที่มีอาการกระดูกเชิงกรานหักระดับรุนแรง และมีการบาดเจ็บบริเวณอื่นร่วมด้วย ควรรีบเข้ารับการรักษาโดยเร็ว เนื่องจากมีโอกาสที่จะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้นั่นเอง  


การวินิจฉัยอาการกระดูกเชิงกรานหัก 

การวินิจฉัยภาวะกระดูกเชิงกรานหัก จะต้องมีการตรวจร่างกายอย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อค้นหาถึงสาเหตุที่แท้จริง และวางแผนการรักษาบริเวณจุดที่มีการแตกหักในแต่ละรายบุคคล โดยทั่วไปจะมีการตรวจสอบหลักๆ ดังนี้
 

1. การซักประวัติ

บุคลากรทางการแพทย์จะทำการซักประวัติส่วนตัวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-นามสกุล อายุ น้ำหนัก โรคประจำตัว ประวัติการเกิดอุบัติเหตุ ประวัติการเข้ารับการผ่าตัด ประวัติสมาชิกภายในครอบครัวเคยมีภาวะกระดูกพรุน ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นต้น เพื่อที่จะได้ประเมินแนวโน้มการเกิดภาวะกระดูกอุ้งเชิงกรานหัก หรือกระดูกเชิงกรานร้าวเบื้องต้น   
 

2. การตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกาย เป็นการตรวจเช็คร่างกายว่า นอกจากส่วนที่มีการแตกหักแล้ว มีส่วนอื่นๆที่ได้รับผลกระทบอีกหรือไม่ เช่น การบาดเจ็บของอวัยวะข้างเคียง เส้นประสาทหรือหลอดเลือดบริเวณกระดูกเชิงกราน เพื่อที่จะได้วางแผนการรักษาส่วนอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย 
 

3. การเอกซเรย์ (X-Ray)

การเอกซเรย์ (X-Ray) เป็นการใช้รังสีเพื่อถ่ายภาพกระดูกเชิงกรานทั้งหมดที่เกิดการแตกหัก เพื่อประเมินระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้น และวางแผนการรักษาต่อไป
 

4. การตรวจ CT Scan

การตรวจร่างกายด้วย CT Scan เป็นการใช้รังสีเอกซเรย์หลายๆตัว ถ่ายภาพกระดูกเชิงกรานในมุมต่างๆ เพื่อทำให้ภาพที่ได้มีรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น เมื่อภาพมีรายละเอียดของจุดต่างๆที่ชัดเจน รวมไปจนถึงบริเวณข้างเคียง ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถระบุตำแหน่งได้แม่นยำและเลือกรูปแบบการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล 


วิธีรักษาอาการกระดูกเชิงกรานหัก 

กระดูกเชิงกรานหัก วิธีรักษาหลักๆ จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
 

การปฐมพยาบาลเมื่อกระดูกเชิงกรานหัก

 


 

หากพบผู้ที่สงสัยว่าอาจมีภาวะกระดูกเชิงกรานหัก การพยาบาลเบื้องต้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากในระยะแรก เพื่อที่จะทำให้อาการไม่แย่ลงไปกว่าเดิม สามารถให้ความช่วยเหลือบุคคลนั้นโดยปฏิบัติตัวดังนี้
 

  1. งดการขยับตัว หรือขยับตัวให้น้อยที่สุดและช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าทางที่เจ็บปวดน้อยที่สุด
  2. ผู้ที่อยู่บริเวณโดยรอบ หรือผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ ไม่ควรขยับหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่รุนแรงขึ้นและป้องกันการเคลื่อนที่ของกระดูก
  3. ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ โทรประสานแจ้งโรงพยาบาล เพื่อให้ทางโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดส่งทีมเชี่ยวชาญมาให้ความช่วยเหลือ
  4. ในขณะที่ทีมเชี่ยวชาญกำลังมาหาผู้ป่วย ให้ผู้ช่วยเหลือประเมินอาการจากการมองเห็นเบื้องต้น หากมีบาดแผลให้ใช้ผ้าสะอาดปิดบริเวณบาดแผลไว้ก่อน
  5. ไม่ควรนวด บีบ หรือดัดส่วนต่างๆของร่างกายผู้ป่วย
  6. หากพบว่ามีอาการปวด บวม ฟกช้ำ สามารถประคบเย็นบริเวณนั้น เพื่อให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นได้ 
 

การผ่าตัดรักษากระดูกเชิงกรานหัก

 

การผ่าตัดรักษากระดูกเชิงกรานหัก สามารถทำได้หลายวิธี โดยผู้เชี่ยวชาญจะประเมินและเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายแต่ละบุคคล ดังนี้
 

  • การผ่าตัดยึดกระดูกเชิงกรานจากภายนอก (External fixation)

การผ่าตัดยึดกระดูกจากภายนอก (External fixation) เป็นการใช้อุปกรณ์อย่างหมุดโลหะ(Metal pin) และสกรู (screw) ยึดตรึงกระดูกเชิงกรานให้คงที่และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมจากอุปกรณ์ภายนอกร่างกายของผู้ป่วย 

โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการใส่หมุดโลหะหรือสกรูเข้าไปยังกระดูกบริเวณนั้นๆ ผ่านแผลขนาดเล็ก ซึ่งลักษณะของหมุดโลหะหรือสกรู จะมีการยื่นออกมาติดกับแท่งคาร์บอนไฟเบอร์ที่ยึดอยู่ภายนอกร่างกาย 

วิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่กระดูกเชิงกรานหักแบบมีแผลเปิด มีการอักเสบ ติดเชื้อ หรือกระดูกเชิงกรานหักหลายจุด 
 

  • การดึงถ่วงน้ำหนักผ่านกระดูก (Skeletal traction)

การดึงถ่วงน้ำหนักผ่านกระดูก (Skeletal traction) เป็นการใช้แรงดึงถ่วงน้ำหนักจากเหล็กที่มีการแทงผ่านกระดูก เพื่อทำให้กระดูกเชิงกรานที่หักเข้าที่ตำแหน่งเหมาะสมและการหดเกร็งกล้ามเนื้อ การปวด การบาดเจ็บต่างๆจากกระดูกที่หักแบบไม่มั่นคง โดยสามารถดึงได้นาน 3-4 เดือน และใช้น้ำหนักได้มาก (ไม่เกิน 1 ใน 6 ของน้ำหนักตัวผู้ป่วย)  
 

  • การผ่าตัดยึดตรึงกระดูกเชิงกรานภายในร่างกายด้วยโลหะ (Open Reduction and Internal Fixation : ORIF)

การผ่าตัดยึดตรึงกระดูกเชิงกรานภายในร่างกาย คือ การใช้อุปกรณ์ต่างๆ ยึดกระดูกเชิงกรานบริเวณที่หักภายในร่างกาย เพื่อไม่ให้เกิดการเคลื่อนที่ของกระดูก และช่วยในเรื่องของการสมานกระดูก 

โดยวิธีการนี้ อาจเหมาะกับผู้สูงอายุ หรือบุคคลที่กระดูกเชิงกรานหัก แล้วมีการบาดเจ็บของหลอดเลือดหรือเส้นประสาทร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากกระดูกเชิงกรานหัก 

ผู้ที่กระดูกเชิงกรานร้าว หรือกระดูกเชิงกรานหัก อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนี้
 

  • เกิดการบาดเจ็บหลายๆระบบ ทำให้อาการรุนแรงขึ้น จนเสียชีวิต
  • อวัยวะข้างเคียง เส้นประสาท หรือหลอดเลือดบริเวณนั้นเกิดความเสียหาย
  • มีเลือดออกอย่างมาก 
  • เกิดการติดเชื้อรุนแรง
  • ลิ่มเลือดอุดตัน
  • มีอาการปวดเรื้อรัง
  • เกิดความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกเหมือนดั่งเดิม
  • ความผิดปกติทางเพศ (Sexual dysfunction)

แนวทางการป้องกันกระดูกเชิงกรานหัก 

ภาวะกระดูกเชิงกรานหัก อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุบัติเหตุหรือพันธุกรรมเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ยังรวมไปจนถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่มีผลต่อกระดูกต่างๆในร่างกายด้วย โดยวิธีการป้องกันกระดูกเชิงกรานหักที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง มีดังนี้
 

  • การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือการเดินในผู้สูงอายุ เช่น ไม้เท้า วอล์คเกอร์ เพื่อป้องกันการหกล้ม
  • ขับรถยนต์อย่างปลอดภัย เช่น งดการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ สังเกตความผิดปกติหรือเหตุการณ์ต่างๆบริเวณโดยรอบรถยนต์ ไม่ใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด เป็นต้น 
  • หากจำเป็นต้องใช้บันไดพาด หรือบันไดพับพกพา แนะนำให้ตรวจสอบความแข็งแรง ตำแหน่งในการวาง และใช้ตามคำแนะนำในการใช้งาน
  • เมื่อต้องการเล่นกีฬา ควรปรับสภาพร่างกาย เตรียมความพร้อมของร่างกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อต่างๆ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นขณะเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย
 

แนวทางการดูแลกระดูกให้แข็งแรง

 

  • ออกกำลังกาย จะสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกได้  
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากสารภายในควันบุหรี่อาจรบกวนการทำงานของเซลล์ที่สร้างกระดูก ทำให้กระดูกมีความแข็งแรงลดลง
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอลล์ ชา กาแฟ เนื่องจากอาจเข้าไปรบกวนการดูดซึมแคลเซียมและทำให้เกิดการขาดสารอาหารขึ้น
  • ลดการรับประทานอาหารที่มีรสชาติเค็มมากเกินไป เพราะจะทำให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมได้ลดลง 
  • รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ให้ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินที่เพียงพอต่อการใช้งาน

FAQs กระดูกเชิงกรานหัก 

กระดูกเชิงกรานหัก เดินได้ไหม

หากไม่ได้เข้ารับการรักษากระดูกเชิงกรานหัก ผู้ที่มีภาวะกระดูกเชิงกรานร้าวหรือกระดูกเชิงกรานหักในระดับความรุนแรงน้อย จะสามารถขยับเดินได้บ้าง แต่จะไม่สะดวกเหมือนดั่งเดิม พบอาการปวดบริเวณขาหนีบ สะโพก หลังส่วนล่าง ส่วนผู้ที่มีภาวะกระดูกเชิงกรานหักระดับความรุนแรงมาก จะไม่สามารถขยับร่างกายได้ เนื่องจากเมื่อพยายามขยับขาหรือเดิน จะก่อให้เกิดความเจ็บปวดที่รุนแรงมากขึ้น 

ส่วนกรณีที่เข้ารับการรักษาเรียบร้อยแล้ว อาจไม่สามารถลุกเดินได้ในทันที ต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูร่างกาย และฝึกเดินตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เมื่อผ่านไปสักระยะเวลาหนึ่ง จึงจะสามารถกลับมาเดินได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือในการเดินนั่นเอง
 

กระดูกเชิงกรานหัก รักษานานไหม

กระดูกเชิงกรานหัก โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลาในการรักษาอยู่ที่ประมาณ 8-12 สัปดาห์ แต่ถ้าหากบุคคลนั้นมีภาวะกระดูกเชิงกรานหักระดับรุนแรง ก็อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษานานยิ่งขึ้น ซึ่งแต่ละบุคคลอาจใช้ระยะเวลาในการรักษาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย การฟื้นตัว อาการบาดเจ็บบริเวณอื่นๆ หรือภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น


ข้อสรุป 

ภาวะกระดูกเชิงกรานหัก เป็นภาวะเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การเกิดอุบัติเหตุ พันธุกรรม โรคต่างๆ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ฯลฯ จึงทำให้ภาวะนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุที่มวลกระดูกมีความแข็งแรงลดลง จึงทำให้ถึงแม้ว่าจะได้รับการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเกิดภาวะนี้ได้ ทุกคนจึงไม่ควรชะล่าใจ หากมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าอาจมีภาวะกระดูกเชิงกรานร้าว หรือกระดูกเชิงกรานหัก ควรรีบเข้ารับการตรวจร่างกาย เพื่อที่จะได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที

หากใครสนใจเข้ารับการตรวจร่างกาย เพื่อเช็คภาวะกระดูกเชิงกรานหัก หรือภาวะอื่นๆ อย่างเช่น การเจ็บข้อเข่า เอ็นข้อมืออักเสบ ไหล่ติด นิ้วล็อค ฯลฯ ทางโรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ ยินดีให้บริการตรวจสุขภาพร่างกาย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะคอยดูแล ให้คำแนะนำ รวมไปจนถึงปรึกษาแนวทางการรักษา เพื่อให้คุณคลายกังวล ปลอดภัย มั่นใจเหมือนมีคุณหมอเป็นเพื่อนบ้าน สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line @samitivejchinatown หรือเบอร์ 02-118-7893 ตลอด 24 ชั่วโมง 


เอกสารอ้างอิง

Dunbar, R.P. & Lowe, J.A. (2016, February). Pelvic Fractures. OrthoInfo. https://orthoinfo.aaos.org/en/diseases--conditions/pelvic-fractures/

Pelvic Fractures. (2021, August 12). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/22176-pelvic-fractures

บทความและสุขภาพอื่นที่น่าสนใจ
pdpa-icon

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ แสดงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเว็บไซต์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว​ (Privacy Policy)​