บทความสุขภาพ

สลักเพชรจม (Piriformis Syndrome) สาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

บทความโดย: วันที่อัพเดท: 26 มีนาคม 2567

สิ่งที่คนไข้มักจะเข้าใจผิดว่าเวลาปวดบริเวณสะโพกหรือก้นแล้วร้าวลงขาจะเป็นโรคหมอนกระดูกทับเส้นประสาท ยังมีอีกหนึ่งโรคที่สามารถก่อให้เกิดอาการเหล่านี้ได้เช่นกัน และหลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อเท่าไหร่นัก แต่ในความเป็นจริงมีคนไข้จำนวนไม่น้อยที่ตรวจพบโรคนี้จากอาการที่กล่าวไปข้างต้น นั่นก็คือ “สลักเพชรจม” นั่นเอง

ในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับสลักเพชรคืออะไร ปวดสลักเพชรหรือสลักเพชรจมอาการเป็นอย่างไร มีสาเหตุใดที่มักทำให้เกิดอาการสลักเพชรจมได้บ้าง สลักเพชรจมรักษาหายไหม มีวิธีรักษาสลักเพชรจมอย่างไรบ้าง รวมถึงวิธีบริหารแก้อาการสลักเพชรจมที่สามารถปฏิบัติเองได้ไม่ยาก


สารบัญบทความ

 


สลักเพชรจม

สลักเพชรจม ชื่อทางการแพทย์ คือ ภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท‬ (Piriformis Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึึ้นจากกล้ามเนื้อที่ชื่อว่า Piriformis ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกเกิดภาวะตึงและไปกดทับเส้นประสาท Sciatic ซึ่งเส้นประสาทนี้จะลากผ่านตั้งแต่กระดูกสันหลังส่วนเอว ผ่านกล้ามเนื้อสะโพกและไปยังขา เพื่อส่งสัญญาณและควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายส่วนล่าง

เมื่อกล้ามเนื้อ Piriformis ไปกดทับเส้นประสาท Sciatic เข้าจึงทำให้การส่งสัญญาณไปส่วนขาเกิดผิดพลาดและทำให้เกิดอาการปวดบริเวณสะโพก ก้นและชาร้าวลงไปยังขาได้

อาการปวดสะโพกร้าวแล้วชาลงขานั้นเป็นอาการที่คล้ายกับอาการของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Lumbar Radiculopathy) ซึ่งเกิดจากเส้นประสาท Sciatic ถูกกดทับเช่นกัน แต่สาเหตุของการทำให้เกิดอาการปวดนั้นมีที่มาที่แตกต่างกัน 

โดยสลักเพชรจมเกิดจากกล้ามเนื้อสะโพกทับเส้นประสาท แต่ในขณะที่โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อน ฉีกขาด เสื่อมสภาพจนทำให้แกนหมอนรองกระดูกหลุดออกมาทับเส้นประสาทนั่นเอง 


สลักเพชร (Piriformis) คืออะไร

สลักเพชร หรือกล้ามเนื้อสะโพก Piriformis Muscle เป็นกล้ามเนื้อขนาดเล็กที่อยู่บริเวณก้นกับสะโพก ลักษณะของกล้ามเนื้อจะแบนมีจุดเกาะเชื่อมระหว่างขอบกระดูกเชิงกรานกับกระเบนเหน็บ มีหน้าที่ช่วยให้ต้นขาสามารถเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่าง ๆ ได้ 

ปกติแล้วหลังสลักเพชรจะมีเส้นประสาท Sciatic ลากผ่านอยู่ด้านหลังโดยที่ไม่มีการกดทับกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่กล้ามเนื้อสลักเพชรเกิดอาการตึง หดเกร็งมากเกินไป หรือมีอาการบาดเจ็บขึ้นก็อาจทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทและทำให้เกิดอาการปวดสะโพกร้าวลงขาได้


สลักเพชรจมเกิดจากสาเหตุใด

กล้ามเนื้อสะโพกหรือสลักเพชรจมจนไปกดทับเส้นประสาท Sciatic แล้วทำให้เกิดอาการปวดสามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ โดยอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุเดียวหรือหลาย ๆ สาเหตุรวมกันก็ได้เช่นกัน ดังนี้ 
 

  • อาการอักเสบหรืออาการบวมของกล้ามเนื้อ Piriformis หรือบริเวณเนื้อเยื่อรอบ ๆ 
  • กล้ามเนื้อ Piriformis กระตุก
  • การบาดเจ็บ ฉีกขาดของกล้ามเนื้อ Piriformis

นอกจากนี้อาการสลักเพชรจมยังสามารถเกิดขึ้นจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อ Piriformis หรือเส้นประสาท Sciatic ที่มีรูปร่างผิดปกติแต่กำเนิด จนทำให้เกิดอาการกดทับและเกิดอาการปวดได้เช่นกัน
 

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการสลักเพชรจม

สาเหตุที่สามารถทำให้เกิดอาการสลักเพชรจมมักมาจากปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้
 

  • การนั่งอยู่ในอิริยาบถเดิม ๆ เป็นเวลานาน ๆ เช่น การนั่งทำงานเป็นเวลานานโดยไม่เปลี่ยนท่าทางเลย การนั่งขับรถติดต่อกันหลาย ๆ ชั่วโมง เป็นต้น
  • การเคลื่อนไหวร่างกายส่วนล่างอย่างสะโพกและต้นขาผิดท่า 
  • การใช้งานกล้ามเนื้อ Piriformis ที่หนักจนเกินไป เช่น เล่นกีฬาหนักเกินไป การวิ่งและเดินเป็นเวลานาน
  • กล้ามเนื้อ Piriformis ไม่แข็งแรงพอ ขาดการออกกำลังกาย
  • ไม่วอร์มร่างกายก่อนออกกำลังกายและไม่คูลดาวน์หลังออกกำลังกาย
  • เกิดอาการบาดเจ็บบริเวณก้นหรือสะโพก เช่น ลื่นล้ม ตกบันได อุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นต้น

อาการสลักเพชรจม

หากกล้ามเนื้อ Piriformis ไปกดทับเส้นประสาท Sciatic มักจะส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการเหล่านี้
 

  • มีอาการปวดลึก ๆ ที่กล้ามเนื้อสะโพก ก้น เอว
  • มีอาการชาร้าวลงขา
  • มักจะมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อ Piriformis หดเกร็งจากการใช้งานมาก ๆ เช่น นั่งติดกันเป็นเวลานาน
  • มีอาการปวดมากขึ้นเมื่อยืดกล้ามเนื้อก้น
  • เคลื่อนไหวช่วงบริเวณสะโพกได้น้อยลง
  • รู้สึกเจ็บเมื่อกดบริเวณสะโพก

สัญญาณเตือนอาการสลักเพชรจม

หากคุณกำลังพบเจออาการเหล่านี้ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของสลักเพชรจม
 

  • ปวดหลังช่วงล่าง
  • ปวดสะโพก แก้มก้นและมีอาการชาร้าวลงขา ในบางครั้งอาจมีอาการปวดร้าวหรือชาที่เท้าร่วมด้วย
  • อาจพบอาการปวดและชาลงขาได้ทั้งสองข้าง แต่ส่วนใหญ่มักเจออาการเพียงข้างเดียว
  • รู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อนั่งเป็นเวลานาน แต่เมื่อลุกขึ้นยืนอาการปวดก็ทุเลาลง
  • อาการปวดมักจะแย่ลงขณะที่นั่ง วิ่ง ยืน เดิน ติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่เมื่อได้นอนหงายก็จะรู้สึกปวดน้อยลง
  • เมื่อลองนอนยกเข่าแล้วเฉียงมาทางหัวไหล่ฝั่งตรงข้ามจะรู้สึกเจ็บขึ้นมา
  • อาการปวดมักจะเป็น ๆ หาย ๆ แต่ไม่หายขาด

ใครเสี่ยงเป็นสลักเพชรจม

หากคุณมีพฤติกรรมหรือมีลักษณะกิจกรรมเหล่านี้ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการสลักเพชรจมได้

 

  • ผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย กล้ามเนื้อมักจะตึงและอ่อนแอกว่าปกติ
  • ผู้ที่ต้องยกของหนักบ่อย ๆ
  • ผู้ที่มีกิจกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้บริเวณก้นและสะโพกเกิดการกระแทก เช่น การเล่นกีฬา
  • ผู้ที่มีการใช้งานเคลื่อนไหวบริเวณสะโพกมากเกินไป เช่น นักวิ่ง การออกกำลังกายหนัก ๆ 
  • ผู้ที่มีลักษณะงานที่ต้องอยู่ในอิริยาบถเดิม ๆ เป็นเวลานาน ๆ เช่น พนักงานออฟฟิศ พนักงานขับรถ เป็นต้น
  • สตรีมีครรภ์และคุณแม่หลังคลอดที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร

สลักเพชรจม..เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์

อาการปวดก้น ปวดสะโพกมักพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยทำงานที่มักจะต้องอยู่ในอิริยาบถเดิม ๆ เป็นเวลานาน และยังเป็นวัยที่ไม่ค่อยได้ดูแลสุขภาพตนเองเท่าที่ควร จึงมักเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อตึงบ่อย ๆ หลายคนจึงมักมองข้ามและซื้อยานวดหรือรับประทานยาคลายกล้ามเนื้อด้วยตัวเอง

แต่หากคุณมีอาการปวดก้น สะโพกร่วมกับอาการชาร้าวลงขา และถึงแม้จะรับประทานยาแก้ปวดแล้ว พักการใช้งานกล้ามเนื้อก็แล้วแต่ก็ยังไม่ดีขึ้นหรือไม่หายขาด แปลว่าคุณอาจมีอาการสลักเพชรจม หรือโรคอื่น ๆ อย่างหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และหาวิธีรักษาที่เหมาะสมที่สุด


การตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์

เพราะอาการปวดสะโพกและชาร้าวลงขาเป็นอาการที่มักจะพบเจอได้ในหลาย ๆ โรค ไม่ว่าจะสลักเพชรจม หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังเสื่อม หรือมีความผิดปกติของข้อต่อ Sacroiliac 

หรือในบางครั้งคนไข้ไม่ได้สังเกตหรือแจ้งแพทย์ว่ามีอาการชาร้างลงขาก็อาจทำให้แพทย์เข้าใจว่าเป็นโรคเกี่ยวกับข้อ เช่น ข้อสะโพกเสื่อม กล้ามเนื้อสะโพกอักเสบเฉียบพลัน ดังนั้นแพทย์จะต้องตรวจคัดกรองโรคเพื่อจะได้รักษาได้อย่างตรงจุด
 

1. ซักประวัติเบื้องต้น

อันดับแรกแพทย์จะทำการซักประวัติผู้ป่วยก่อนถึงรูปแบบอาการปวดสะโพกว่ามีอาการปวดแบบไหน มีอิริยาบถใดที่ทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น มีประวัติการเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตปกติของผู้ป่วย เช่น การออกกำลังกาย ลักษณะงานอาชีพของผู้ป่วย เป็นต้น
 

2. การเอกซเรย์

แพทย์อาจส่งให้ผู้ป่วยไปเอกซเรย์เพื่อดูว่าบริเวณกระดูกสันหลังหรือบริเวณกระดูกสะโพกมีความผิดปกติหรือไม่ สำหรับอาการสลักเพชรจมอาจไม่พบถึงความผิดปกติใด ๆ เนื่องจากสลักเพชรจมเกิดจากการกดทับของกล้ามเนื้อกับเส้นประสาท แต่สามารถตรวจพบความผิดปกติสำหรับโรคอื่นอย่างหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่เกิดจากหมอนรองกระดูกมีความผิดปกติได้
 

3. การตรวจ MRI

การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือ MRI จะสามารถทำให้เห็นกล้ามเนื้อและเส้นประสาทได้ จึงสามารถตรวจพบถึงความผิดปกติของกล้ามเนื้อว่าไปกดทับเส้นประสาทอยู่หรือไม่ การตรวจ MRI จะสามารถคัดแยกโรคหมอนกระดูกทับเส้นประสาท อาการสลักเพชรจมได้ 
 

4. การตรวจ CT Scan

การตรวจด้วย CT Scan จะทำให้แพทย์สามารถเห็นถึงความผิดปกติของกระดูกได้ชัดเจนมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยแตกร้าวหรือการเสื่อมสภาพของกระดูก การตรวจ CT Scan จึงสามารถใช้ตรวจเพื่อคัดกรองโรคได้


วิธีรักษาอาการสลักเพชรจม

อาการกล้ามเนื้อหนีบทับเส้นประสาทหรือสลักเพชรจมนั้นสามารถรักษาได้หลายแบบ อย่างการรักษาแบบประคับประคอง หรือบรรเทาอาการปวดสลักเพชรร้าวลงขาด้วยตนเอง หรือหากอาการปวดรุนแรงก็สามารถรับการรักษาด้วยการผ่าตัดก็ได้เช่นกัน วิธีรักษาอาการสลักเพชรจมมีดังนี้

 

การบรรเทาอาการด้วยตัวเองเบื้องต้น


 

  • การประคบร้อน

อาการสลักเพชรจมมักเกิดจากกล้ามเนื้อเกิดหดเกร็งและตึงมาก ๆ ดังนั้นการประคบร้อนจึงเป็นการช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวลงและลดการกดทับเส้นประสาทได้ กรประคบร้อนให้ผู้ป่วยนำแผ่นประคบร้อนไปบริเวณที่ปวด ให้ประคบนานประมาณ 15-20 นาที และไม่ควรประคบนานจนเกินไปเพราะอาจทำให้ผิวแดง แสบร้อนได้

 

  • การบริหารร่างกาย

การบริหารร่างกายโดยเฉพาะบริเวณก้นและสะโพกจะช่วยให้กล้ามเนื้อสลักเพชรมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อยืดหยุ่นดีจะทำให้อาการปวดลดลงได้

 

  • ปรับพฤติกรรมการทำงาน

สาเหตุที่เกิดอาการสลักเพชรจมมักเกิดจากการอยู่ในอิริยาบถเดิม ๆ โดยไม่ค่อยเคลื่อนไหว ซึ่งการอยู่ในอิริยาบถเดิม ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อ piriformis ขาดความยืดหยุ่น เกิดการหดเกร็งและเกิดอาการปวดได้ ดังนั้นควรมีการเปลี่ยนท่าทางอิริยาบถบ้าง เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวและเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อมากขึ้น

 

การรักษาทางการแพทย์

 

  • การใช้ยาบรรเทาอาการปวด

การรักษาทางการแพทย์ในเบื้องต้นแพทย์มักจะใช้การรักษาแบบประคับประคอง หากอาการปวดของผู้ป่วยไม่มาก แพทย์มักจะให้ยารับประทาน เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาแก้ปวด หรือยาคลายกล้ามเนื้อ รวมถึงให้คำแนะนำในการบริหารกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการปวดสลักเพชร

 

  • การทำกายภาพบำบัด

อีกทางเลือกของการรักษาสลักเพชรจม โดยการทำกายภาพบำบัดจะช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อสลักเพชรให้มีความยืดหยุ่น แข็งแรงขึ้น ลดอาการเจ็บปวดได้ดี เช่นการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ การทำ Shockwave เป็นต้น

 

  • การฉีดสเตียรอยด์

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดสลักเพชรรุนแรง หรือเคยรับการรักษาแบบประคับประคองมาแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณารักษาสลักเพชรจมด้วยการฉีดสเตียรอยด์ให้ผู้ป่วย เพื่อให้กล้ามเนื้อสลักเพชรคลายตัว

 

  • การรักษาด้วยการผ่าตัด

หากการรักษาด้วยวิธีข้างต้นไม่ได้ผลเลย แพทย์ก็จะพิจารณารักษาสลักเพชรจมด้วยการผ่าตัดโดยเอาเนื้อเยื่อแผลเป็นหรือกล้ามเนื้อที่กดทันเส้นประสาทออกก็จะทำให้อาการปวดหายไป แต่โดยส่วนมากมักไม่นิยมใช้การผ่าตัดในการรักษาสลักเพชรจม เว้นแต่ผ่านการรักษาทุกวิธีแล้วไม่ได้ผล 


5 ท่าบริหารแก้สลักเพชรจม

อาการปวดสลักเพชรสามารถใช้ท่าบริหารร่างกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อ piriformis ให้มีความยืดหยุ่น ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อได้ 
 

ท่าที่ 1

นอนตะแคงข้างแล้วให้กางขาขึ้นโดยที่ปลายเท้าชี้ไปด้านหน้า ยกข้างเอาไว้ 10 วินาทีนับเป็น 1 เซ็ต ให้ทำซ้ำ 3 เซ็ต จากนั้นให้เปลี่ยนเป็นอีกข้างแล้วทำเช่นเดียวกัน
 

ท่าที่ 2

นอนหงายแล้วงอเข่าขวาไขว้ไปข้างซ้าย ขาซ้ายให้เหยียดตรงแล้วใช้มือซ้ายจับเข่าขวา จากนั้นให้ดึงเข่ายืดกล้ามเนื้อไปด้านซ้าย ค้างเอาไว้ 10 วินาทีนับเป็น 1 เซ็ต ให้ทำซ้ำ 3 เซ็ต จากนั้นให้เปลี่ยนเป็นอีกข้างแล้วทำเช่นเดียวกัน
 

ท่าที่ 3

นอนหงายโดยให้เท้าทั้งสองข้างราบไปกับพื้น จากนั้นให้งอเข่าขึ้นทั้งสองข้าง พักข้อเท้าของขาขวาไว้บนเข่าของขาซ้าย จากนั้นให้ดึงต้นขาซ้ายเข้าชิดหน้าอกจนรู้สึกตึง 15-20 วินาที ทำซ้ำ 3 ครั้ง จากนั้นให้เปลี่ยนเป็นอีกข้างแล้วทำเช่นเดียวกัน
 

ท่าที่ 4

ยืนตรงข้างโต๊ะที่มีความสูงประมาณช่วงเอว จากนั้นงอเข่าขวาและพาดไว้บนโต๊ะ มือทั้งสองข้างจับขอบโต๊ะแล้วยืดกล้ามเนื้อโดยเอนตัวไปข้างหน้า ทำค้างไว้ 20 วินาทีนับเป็น 1 เซ็ต ให้ทำซ้ำ 3 เซ็ต จากนั้นให้เปลี่ยนเป็นอีกข้างแล้วทำเช่นเดียวกัน
 

ท่าที่ 5

นวดคลึงบริเวณกล้ามเนื้อสลักเพชรโดยนำลูกเทนนิสวางบริเวณแก้มก้น จากนั้นให้นั่งทับแล้วคลึงไปมาประมาณ 10 ครั้ง


สลักเพชรจมรักษาหายไหม

อาการสลักเพชรจมสามารถรักษาหายได้และจะรักษาหายได้เร็วเมื่อมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อสลักเพชร โดยอาการจะดีขึ้นเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

แต่อาการสามารถกลับมาเป็นได้อีกหากมีการกระทำหรือพฤติกรรมใดที่ทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บหรือตึงขึ้นมา และหากอาการรุนแรงการรักษาสลักเพชรจมให้หายอาจต้องใช้วิธีการรักษาที่รุนแรงขึ้นอย่างการผ่าตัด


แนวทางการป้องกันการสลักเพชรจม

อาการปวดสลักเพชร สลักเพชรจมเป็นอาการปวดที่มักจะเป็น ๆ หาย ๆ แต่ผู้ป่วยสามารถป้องกันไม่ให้อาการปวดสลักเพชรกลับมาเป็นซ้ำ ๆ ได้ดังนี้
 

  • เพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อสลักเพชรด้วยการออกกำลังกาย โดยเน้นช่วงสะโพก ก้น และเอว
  • พยายามเปลี่ยนอิริยาบถให้ได้ 1-2 ชั่วโมงต่อครั้ง เพื่อลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อสลักเพชรที่มากเกินไป
  • ป้องกันอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อขณะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาด้วยการวอร์มอัพและคูลดาวน์ในช่วงก่อนและหลังออกกำลังกายทุกครั้ง
  • ปรับท่าทางการนั่ง ยืนด้วยท่าที่เหมาะสม
  • หากต้องยกของหนักให้ยกของด้วยการงอเข่าแล้วนั่งยอง ๆ หลังตรงแล้วจึงยกของขึ้น ไม่ยกของด้วยการก้มขาตรง และไม่บิดตัวขณะยกของหนักเพราะเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อสลัักเพชรได้ 

ข้อสรุป

อาการปวดสลักเพชรเป็นอาการที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะวัยทำงานที่ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนอิริยาบถ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอ กดเกร็งและตึงจนไปทับเส้นประสาทและเกิดอาการปวดขึ้น ซึ่งอาการปวดสะโพกและร้าวลงขาของสลักเพชรจมนั้นมักจะคล้ายกับอาการหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้ควรเข้าพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด วินิจฉัยโรค และหาวิธีรักษาที่เหมาะสมที่สุด

หากผู้ป่วยมีอาการปวดก้น ปวดสะโพกและมีอาการชาร้าวลงขา สงสัยว่าจะเป็นสลักเพชรจมหรือหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท สามารถเข้ารับคำปรึกษา ตรวจหาสาเหตุและโรคได้กับโรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ โดยสามารถติดต่อได้ตามช่องทางต่อไปนี้

โทรสอบถามที่ 02-118-7893 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เว็บไซต์ : https://samitivejchinatown.com/th/home 

Line : @samitivejchinatown


เอกสารอ้างอิง

Cleveland Clinic. (2022). Piriformis Syndrome. from https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/23495-piriformis-syndrome

John Revord. (2012). What Is Piriformis Syndrome?. from https://www.spine-health.com/conditions/sciatica/what-piriformis-syndrome

John Revord. (2012). Piriformis Muscle Stretch and Physical Therapy. from https://www.spine-health.com/conditions/sciatica/piriformis-muscle-stretch-and-physical-therapy

บทความและสุขภาพอื่นที่น่าสนใจ
pdpa-icon

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ แสดงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเว็บไซต์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว​ (Privacy Policy)​