ต้อกระจกในผู้สูงอายุ ภัยทางสายตาที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้
ต้อกระจกในผู้สูงอายุ คือ ภาวะที่เลนส์ตามีความขุ่นมัวหรือเปลี่ยนสี ส่งผลให้การมองเห็นของผู้ป่วยพร่ามัวและลดลงตามระยะเวลา
“จอประสาทตาเสื่อม” โรคที่พบมากในผู้สูงอายุ มักจะแสดงอาการไม่มากในระยะแรก ผู้ป่วยจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ จนหลายคนชะล่าใจ ทิ้งโรคร้ายนี้ไว้ให้ลุกลามจนสูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไปโดยไม่รู้ตัว
ในบทความนี้ สมิติเวช ไชน่าทาวน์จะมาให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับจอประสาทตาเสื่อมว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร อาการเป็นอย่างไร อันตรายถึงขั้นทำให้ตาบอดได้หรือไม่ และสามารถป้องกันภัยร้ายนี้ได้อย่างไร
สารบัญบทความ
จอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) คือโรคที่เกิดจากจอประสาทตาในลูกตาเสื่อมสภาพ จนไม่สามารถรับภาพได้ดีเท่าเดิม โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้จะทำให้การมองเห็นแย่ลงเรื่อยๆ มองภาพบิดเบี้ยว มองเห็นสีได้น้อยลง การมองเห็นช่วงกลางภาพหายไป เมื่อถึงจุดหนึ่งจะสูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไปในที่สุด
จอประสาทตาเสื่อมมักจะเกิดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคมาจากความเสื่อมของอวัยวะตามอายุ บางครั้งจึงเรียกโรคจอประสาทตาเสื่อมที่มักเกิดในผู้สูงอายุว่า Age – Related Macular Degeneration หรือที่เรียกว่า AMD นั่นเอง
ผู้ป่วยโรคนี้มักรู้ตัวช้า เนื่องจากในผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการของโรคจะค่อยๆเกิด บางครั้งก็เกิดขึ้นกับดวงตาเพียงข้าง เมื่อผู้ป่วยใช้ดวงตาสองข้างในการมองจึงไม่ทราบว่าภาพการมองเห็นของตนกำลังผิดเพี้ยนไป
จอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามสาเหตุของโรค ได้แก่
จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry Age – Related Macular Degeneration หรือ Dry AMD) คือโรคจอประสาทตาเสื่อมที่เกิดจากตัวเซลล์ในจอประสาทตาเสื่อมสภาพและจอตาบางลงเองตามอายุการใช้งานเมื่อมีอายุมากขึ้น พบได้มากถึง 85 - 90% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด
อาการของโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งจะค่อยๆแสดงออกมา ผู้ป่วยจะเริ่มมองไม่เห็นในที่มืด จำหน้าคนรู้จักไม่ได้ ภาพที่เห็นเริ่มเบลอ เบี้ยวผิดรูป และการมองเห็นจะแย่ลงเรื่อยๆ หากไม่ลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้ให้หายขาดอีกด้วย
จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet Age – Related Macular Degeneration หรือ Wet AMD) คือโรคจอประสาทตาเสื่อมอันเกิดจากเส้นเลือดที่ผิดปกติภายในจอตา เมื่อเส้นเลือดที่ผิดปกตินั้นแตกออก เลือดและของเหลวในเลือดจะไหลออกและคั่งอยู่ในบริเวณจอประสาทตา ทำให้บริเวณนั้นบวมผิดปกติจนการรับภาพของจอประสาทตาผิดเพี้ยนไปจากเดิม
จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกพบได้เพียง 10 - 15% เท่านั้น และมักเป็นความผิดปกติที่เป็นผลมาจากพันธุกรรม ดังนั้นแม้จะเป็นรูปแบบที่พบได้น้อย แต่มักจะพบได้ในผู้ป่วยที่คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกมาก่อน โดยที่จอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นมาได้เองทันที หรือสามารถเกิดต่อเนื่องหลังเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งก็ได้
จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนี้ อาการจะรุนแรงมากกว่าชนิดแห้ง อาการจะเกิดขึ้นเร็วและผู้ป่วยสามารถสูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไปภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และมีโอกาสที่จะทำให้สูญเสียการมองเห็นทั้งหมดด้วย
โดยปกติแล้ว จอประสาทตา (Macula หรือ Macula lutea) เป็นกลุ่มของเซลล์ในพื้นที่หนึ่งของจอตา (Retina) จอประสาทตาจะมีหน้าที่ทำให้คนเรามองจุดโฟกัสกลางสายตาชัดกว่าภาพการมองเห็นในส่วนอื่นๆ
อย่างเช่นเวลาอ่านหนังสือ ผู้อ่านจะอ่านออกแค่ตัวหนังสือในบริเวณกลางภาพในตำแหน่งที่เรามองไปเท่านั้น เราอาจจะอ่านคำที่อยู่ติดกันได้ แต่ไม่สามารถอ่านคำที่ห่างออกไปมากกว่านั้นได้ เนื่องจากภาพตัวหนังสือที่อยู่รอบๆจะไม่ชัดเท่าตรงกลางนั้นเอง
ดังนั้นเมื่อจอประสาทตาเสื่อมสภาพลง จะทำให้ภาพการมองเห็นมีผลกับตรงกลางภาพมากกว่าส่วนอื่นๆของภาพนั่นเอง
แล้วจอประสาทตาเสื่อม เกิดจากอะไร? ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าปัจจัยใดทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อม แต่จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งส่วนใหญ่เกิดจากอายุที่มากขึ้น เซลล์ที่ตอบสนองต่อแสงในจอประสาทตาค่อยๆเสื่อมสภาพและหายไปอย่างช้าๆ หรือเยื่อหุ้มในชั้นที่อยู่ใกล้จอตาค่อยๆบางลงจนมีผลต่อจอประสาทตา ทำให้ภาพการมองเห็นส่วนกลางภาพค่อยๆแย่ลงนั่นเอง
ส่วนจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนี้ คาดว่าส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรมที่เมื่อถึงอายุหนึ่งเส้นเลือดที่ผิดปกติหลังจอตาจะบวมหรือแตกออก ทำให้เกิดเลือดคั่งจนดันให้จอตา (Retina) บวมมากกว่าปกติจนส่งผลต่อจอประสาทตา (Macula) ทำให้เกิดจุดบอดตรงกลางภาพได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าจอประสาทตาเสื่อมเกิดจากอะไร แต่ผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมมักจะมีปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน ดังนี้
สิ่งหนึ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดอย่างมากเกี่ยวกับโรคจอประสาทตาเสื่อม คือการใช้สายตามากไป อย่างการเล่นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแสงยูวีจากแดด ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เลย
แม้การใช้สายตามากเกินไป หรือรังสียูวีในแสงแดดจะทำให้เกิดโรคต้อ หรือโรคอื่นๆกับดวงตาได้ แต่ไม่ได้มีผลทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้แต่อย่างใด
อาการจอประสาทตาเสื่อมทั้งสองชนิด โดยทั่วไปมีดังนี้
อาการจอประสาทตาเสื่อมทั้งชนิดเปียกและชนิดแห้ง ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่อาการของโรคในชนิดเปียกจะเกิดขึ้นรุนแรง และรวดเร็วกว่าชนิดแห้ง ผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกมีโอกาสสูญเสียการมองเห็นเกือบทั้งหมดได้หากไม่รีบรักษา
แม้จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งจะอาการไม่รุนแรงเท่ากับชนิดเปียก แต่หากปล่อยทิ้งไว้ ไม่ได้พบแพทย์ ไม่ได้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ ก็จะทำให้อาการรุนแรงขึ้นจนสูญเสียการมองเห็นเกือบทั้งหมดได้เช่นกัน
นอกจากนี้จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งยังสามารถกลายเป็นชนิดเปียกได้ด้วย ทำให้อาการลุกลามอย่างรวดเร็ว และรุนแรงกว่าเดิม โดยอาการเริ่มแรกของผู้ที่จอประสาทตาเสื่อมพัฒนาจากชนิดแห้งไปชนิดเปียก จะเริ่มมองเห็นภาพบิดเบี้ยวคล้ายกับการลืมตาในน้ำ หากมีอาการนี้ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน
จอประสาทตาเสื่อม อาการเริ่มต้นของแต่ละชนิดนั้นต่างกัน หากเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกจะสามารถสังเกตอาการได้ง่ายกว่า เนื่องจากอาการจะรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน
แต่ในโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งนั้น ในช่วงแรงผู้ป่วยจะสังเกตอาการได้ยากมาก หรือในบางรายจะไม่แสดงอาการเลย แต่สามารถตรวจพบได้หากเข้าพบกับจักษุแพทย์
ในกรณีที่โรคแสดงอาการ โรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งจะทำให้ผู้ป่วยเริ่มเห็นภาพมัวลง ไม่ชัดเท่าเดิม เส้นที่เคยเห็นเป็นเส้นตรงจะดูเบี้ยวและคดเคี้ยวมากขึ้น เมื่อเริ่มเป็นหนักขึ้นช่วงกลางภาพการมองเห็น จะเป็นสีเทาหรือสีดำ ซึ่งเป็นการสูญเสียการมองเห็นไปบางส่วนนั่นเอง
ภาวะแทรกซ้อนของโรคจอประสาทตาเสื่อมมักจะเป็นอาการที่ตามมาจากการมองเห็นที่ปกติ ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ชีวิตประจำวันที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำได้แบบเดิม เช่น ไม่สามารถแยกหน้าคนอื่นๆได้ ไม่สามารถอ่านหนังสือได้ตามปกติ ใช้ชีวิตประจำวันไม่สะดวกเพราะปัญหาสายตา ขับรถไม่ได้
ด้วยอาการหลายอย่างนี้ อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความกังวลและความเครียดตามมาจากการที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ จนอาจเกิดเป็นภาวะวิตกกังวลหรือเกิดโรคซึมเศร้าตามมาได้
ในเบื้องต้น จอประสาทตาเสื่อมสามารถทดสอบได้ด้วยตารางตรวจจุดภาพชัด หรือ Amsler Grid โดยตารางตรวจจุดภาพชัดนี้ จะเป็นภาพพื้นขาว มีเส้นตารางสีดำ ที่มีช่องตารางเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหลายช่อง และจะมีจุดสีดำจุดเล็กๆ ที่เป็นจุดตัดของเส้นตารางที่กลางภาพ
ผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม จะใช้ตารางตรวจจุดภาพชัดทดสอบสายตาตามวิธีการดังนี้
หากผู้ทดสอบมองเห็นเป็นตารางตามปกติก็จะถือว่ายังไม่มีอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม แต่ถ้าเห็นพื้นที่สีดำหรือสีทาอยู่ตามตาราง ตารางบิดเบี้ยวไม่เป็นเส้นตรง อาการจะเกิดขึ้นอย่างเดียวหรือทั้งสองอย่าง กับตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ หากมีอาการดังกล่าวจะถือว่ามีอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้การทดสอบนี้ยังใช้ไม่ได้กับผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมที่ยังไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากอยากทราบว่าตนเองเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมหรือไม่ ควรเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือเฉพาะอื่นต่อไป
การตรวจวินิจฉัยในขั้นแรกแพทย์จะทำโดยใช้ตารางตรวจจุดภาพชัดเพื่อประเมินการมองเห็นคร่าวๆ ร่วมกับการใช้อุปกรณ์ส่องจากภายนอกผ่านม่านเพื่อดูความผิดปกติของจอตาและจอประสาทตา
หากสงสัยว่าเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมแพทย์จะตรวจอย่างละเอียดด้วยวิธีการอื่นๆต่อ อย่างการถ่ายภาพจอประสาทตาด้วยเครื่องถ่ายภาพที่ให้ผลออกมาเป็นแบบดิจิตัล เพื่อตรวจดูความผิดปกติโดยละเอียด และจะใช้การฉีดสีร่วมกับการเอ็กซเรย์เพื่อดูเส้นเลือดที่ผิดปกติบริเวณจอประสาทตา เพื่อวินิจฉัยแยกชนิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมต่อไป
จอประสาทตาเสื่อม รักษาด้วยวิธีการที่แตกต่างกันตามชนิดของโรค หากเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้เพื่อไม่ให้โรคลุกลามมากกว่าเดิม และไม่ให้พัฒนาไปเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกที่อันตรายกว่า
โดยแนวทางการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการลุกลามของโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งที่แพทย์แนะนำ มีดังนี้
ในกรณีที่สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางภาพไปแล้ว จะมีวิธีรักษาที่เรียกว่า The implantable miniature telescope (IMT) เป็นการรักษาโดยการผ่าตัดใส่กล้องโทรทัศน์ขนาดเล็กเข้าไปที่ดวงตา เพื่อเปลี่ยนจุดรับแสงที่เป็นจุดโฟกัสกลางภาพ จากจอประสาทตาที่เสียหายไปแล้ว เป็นจอตาในส่วนอื่นๆที่ยังสุขภาพดีอยู่ เพื่อให้การมองเห็นกลับมาใช้งานได้ใกล้เคียงกับปกติ
แต่การรักษานี้มีข้อจำกัดหลายอย่าง ผู้เข้ารับการรักษาต้องอายุ 75 ปีขึ้นไป เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งที่อาการหนัก ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการอื่นได้อีก และต้องไม่เคยเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาในการรักษาโรคต้อกระจกมาก่อน
ส่วนในผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการดังนี้
การฉายเลเซอร์เพื่อรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกมี 2 วิธี ได้แก่
ยา Anti - VEGF หรือ Anti - Vascular Endothelial Growth Factor เป็นยาสำหรับฉีดโดยแพทย์ ช่วยให้เส้นเลือดผิดปกติที่เป็นต้นเหตุของโรคฝ่อไป แพทย์จะฉีดยานี้เข้าที่ตาขาว เพื่อให้ตัวยาเข้าไปที่น้ำเลี้ยงในลูกตา และไปออกฤทธิ์ที่เส้นเลือดผิดปกติโดยตรง เป็นวิธีรักษาที่ต้นเหตุ เห็นผลเร็ว และผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้สึกเจ็บขณะฉีดยา
แต่วิธีการนี้มีข้อเสียเช่นกัน คือผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์บ่อย ช่วงแรกๆอาจจะต้องมาพบแพทย์เพื่อฉีดยาประมาณเดือนละ 3 ครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะลดจำนวนลงโดยแพทย์จะดูตามอาการอีกครั้งหนึ่ง
การผ่าตัดรักษาจอประสาทตาเสื่อมจะเป็นการผ่าตัดเพื่อนำเส้นเลือดที่ผิดปกติ หรือนำเลือดที่คั่งอยู่หลังจอตาออกไป โดยวิธีการนี้เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นการรักษาที่ไม่เห็นผลเท่าที่ควร
ผู้ป่วยแต่ละรายต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีใดนั้น จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของจักษุแพทย์เจ้าของไข้ ส่วนอาการหลังการรักษาก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดใด และเป็นในระยะใด
หากเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง จะยังไม่มีวิธีรักษา อาการหลังปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะไม่ได้หายขาดหรือการมองเห็นดีขึ้น แต่จะช่วยไม่ให้สายตาแย่ลงกว่าเดิม
ส่วนผลการรักษาหลังจากเข้ารับการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนั้น หากอาการก่อนการรักษาไม่หนักมาก ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะกลับมามีสายตาที่ปกติหรือใกล้เคียงกับปกติได้ แต่ถ้าอาการแย่อยู่แล้วตั้งแต่ต้น หลังการรักษาอาการจะไม่ได้ดีขึ้นมากนัก แต่ก็จะไม่แย่ลงไปกว่าเดิม
ทั้งนี้ผลการรักษาขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย
วิธีการป้องกันจอประสาทตาเสื่อมนั้น คล้ายกับการรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง คือต้องงดสูบบุหรี่ ควบคุมโรคที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดจอประสาทตาเสื่อม และทานอาหารที่มีประโยชน์
หากเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป และผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ควรเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และควรทานอาหารที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน แร่ธาตุสังกะสี ทองแดง และลูทีน เพื่อป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีที่สุด
จอประสาทตาเสื่อม รักษาได้ แต่วิธีรักษาแต่ละวิธีนั้น ต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะที่ทันสมัย และได้มาตรฐานทางการแพทย์ ประกอบกับเป็นหัตถการที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก จักษุแพทย์ผู้ดำเนินการต้องมีความเชี่ยวชาญสูง เพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดระหว่างการรักษาให้ได้น้อยที่สุด อีกทั้งหัตถการเกี่ยวกับดวงตายังก่อให้เกิดความเคียดต่อผู้เข้ารับการรักษาด้วย
ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ เราให้ความสำคัญกับความสบายใจของผู้เข้ารับการรักษา เราจึงดูแลผู้เข้ารับการรักษาทุกคนเหมือนเป็นเพื่อบ้านของเรา การรักษาในทุกขั้นตอนดำเนินการโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมด้วยเครื่องมือทันสมัยอย่างครบครัน เพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกมั่นใจ และรู้สึกไว้วางใจในระหว่างการรักษา
จอประสาทตาเสื่อม อายุน้อยก็สามารถพบได้ เนื่องจากจอประสาทตาเสื่อมเป็นโรคทางพันธุกรรมอย่างหนึ่ง โรคนี้สามารถแสดงอาการได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 20 ปี ส่วนจอประสาทตาเสื่อมที่พบในช่วงอายุ 30 ถึง 40 ปีก็อาจจะเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมบวกกับอายุที่มากขึ้นได้เช่นกัน
ช่วงอายุที่โรคจะแสดงอาการขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ส่วนใหญ่สาเหตุจะเกิดจากสรีระของดวงตาที่ผิดปกติ หรือมีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้มากอยู่แล้ว เมื่ออายุมากขึ้นจอประสาทตาเสื่อมก็มีโอกาสเกิดได้มากขึ้นอีกนั่นเอง'
ในผู้ป่วยจอประสาทตาเสื่อม ตาบอดไม่ใช่กรณีที่พบได้บ่อย ผู้ป่วยส่วนใหญ่หากป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมระยะท้ายๆ จะสูญเสียการมองเห็นแค่ส่วนตรงกลางภาพ แต่จะยังมองเห็นในบริเวณรอบข้างอยู่
มีผู้ป่วยบางรายที่สูญเสียการมองเห็นทั้งหมดเช่นกัน แต่จะพบได้น้อยมาก และพบเฉพาะจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกเท่านั้น ดังนั้นจอประสาทตาเสื่อมก็มีโอกาสทำให้ตาบอดได้เช่นกัน
ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาจอประสาทตาเสื่อมที่เป็นยาสำหรับใช้ทาน หยอด หรือทา ยาที่ใช้รักษาจะเป็นยาที่ใช้ฉีดเข้าที่ดวงตา หรือฉีดเข้าร่างกายและใช้ร่วมกับเลเซอร์เท่านั้น
จอประสาทตาเสื่อม วิตามินที่ควรทานคือวิตามินที่เป็นวิตามินต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant vitamin) ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยให้เซลล์บริเวณจอประสาทตาเสื่อมช้า และเสื่อมน้อยลงจากผลของอนุมูลอิสระ (Free radical) นั่นเอง
จอประสาทตาเสื่อมส่วนใหญ่ เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ทำได้แค่ชะลอให้เกิดช้าลง เพื่อให้ใช้งานดวงตาได้นานขึ้นเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่รู้ตัวว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ให้พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้อื่นๆให้มากที่สุด เพราะหากสูญเสียการมองเห็นบางส่วนไปแล้ว ก็จะเสียไปเลย ไม่สามารถแก้ไขได้ หรือแก้ไขได้ยาก การใช้ชีวิตประจำวันก็จะยากขึ้นมากอีกด้วย
สงสัยว่าเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม มองไม่ชัด หรือสงสัยว่าเป็นโรคเกี่ยวกับดวงตา สามารถติดต่อสอบถามหรือนัดเวลากับจักษุแพทย์จากทางโรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ได้ที่ Line @samitivejchinatown
เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ แสดงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเว็บไซต์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)