โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดหัวใจตีบ รู้ตัวก่อน รักษาหายไวกว่า
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดหัวใจตีบ รู้ตัวก่อน รักษาหายไวกว่า
โรคหัวใจเป็นโรคที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจผิดปกติไป ซึ่งโรคหัวใจสามารถแบ่งย่อยออกเป็นหลายแบบด้วยกัน เช่น โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เป็นต้น โดยโรคหัวใจนี้ถือเป็นโรคที่คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด ในอดีตพบว่าโรคหัวใจมักเกิดในผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุบันพบว่าวัยรุ่นหนุ่มสาวมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน ในบทความนี้จะมาทำความรู้จักกับโรคหัวใจแบบละเอียด และ 10 อาการโรคหัวใจ เพื่อเสริมเป็นความรู้ และให้ข้อมูลในการตัดสินใจเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อคัดกรองความเสี่ยงโรคหัวใจ
สารบัญบทความ
โรคหัวใจ (Heart Disease) เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ซึ่งโรคหัวใจนี้สามารถแบ่งย่อยออกมาได้หลายโรค ไม่ว่าจะเป็น โรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นต้น
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดเผยว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย โดยมีจำนวนมากถึงปีละ 7 หมื่นราย และพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มวัย ซึ่งสาเหตุโรคหัวใจมักมีปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุ เพศ ครอบครัว ระดับความดันโลหิต ระดับไขมันในเลือด เป็นต้น ทั้งนี้เราสามารถป้องกันโรคหัวใจด้วยการปรับพฤติกรรมเสี่ยง รวมถึงเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ
สาเหตุโรคหัวใจนั้นสามารถแบ่งออกได้หลายประเด็น ไม่มีสาเหตุที่ตายตัวแน่นอน แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงที่สามารถบ่งบอกได้ว่าน่าจะมีสิทธิ์เป็นโรคหัวใจได้ โดยปัจจัยเสี่ยงที่สามารถทำให้เกิดโรคหัวใจในประเภทที่ต่างกันออกไป เช่น อายุที่เพิ่มมากขึ้น ประวัติครอบครัว เพศ ขาดการออกกำลังกาย และการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจสามารถแบ่งได้เป็น 2 ปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคำนวณค่า BMI ได้ที่: วิธีคํานวณค่า BMI สูตรคำนวณดัชนีมวลกาย บอกอะไรได้บ้าง
อาการโรคหัวใจนั้นเป็นเพียงแค่สัญญาณที่บ่งบอกให้ทราบถึงสุขภาพร่างกาย การจะรู้ว่าเป็นโรคหัวใจหรือเปล่านั้น จะต้องเข้ารับการตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ ควบคู่กันไปด้วย สำหรับ 10 อาการเตือนโรคหัวใจที่ควรพบแพทย์ มีดังนี้
หากพบว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองโรคหัวใจให้เร็วที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่ามีปัญหาโรคหัวใจหรือไม่ และวางแผนการรักษาต่อไป
โรคหลอดเลือดหัวใจมักมีสาเหตุมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น ภาวะไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง รวมถึงสูบบุหรี่จัด ทำให้มีการตีบตันในหลอดเลือดและเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ พบบ่อยในผู้ใหญ่ มีอาการที่สังเกตได้ง่าย ๆ คือเจ็บแน่นหน้าอก อึดอัด เหมือนมีสิ่งกดทับกลางอก เหนื่อยง่ายหายใจถี่ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น โรคหลอดเลือดหัวใจนี้อาจเป็นแบบฉับพลันจนเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ (Heart Attack) ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูงถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและเหมาะสม
โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac Arrhythmia) มักเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด หลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น หรือเกิดจากสุขภาพร่างกาย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โดยอาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่สังเกตได้ง่ายคือ หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมออาจเต้นเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป เจ็บหน้าอก หายใจถี่ วิงเวียนศีรษะ เป็นต้น ผู้ที่มีอาการดังกล่าวควรเข้ารับการตรวจไขมันในเลือดเพื่อหาสาเหตุอาการที่แท้จริง
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease) คือความผิดปกติของการพัฒนาการโครงสร้างหัวใจตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจพิการคือ ความผิดปกติทางพันธุกรรม มารดาได้รับยาบางอย่างในช่วงก่อน หรือระหว่างการตั้งครรภ์ และการปฏิบัติตัวที่ไม่ถูกต้องของมารดาขณะตั้งครรภ์ เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้สารเสพติด
โดยอาการที่อาจสงสัยว่าเด็กเป็นโรคหัวใจพิการ ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ดื่มนมน้อย โตช้า เล็บสีม่วงคล้ำ อ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก หากสังเกตพบว่าเด็กมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
โรคหัวใจที่เกิดจากการติดเชื้อ (Heart Infection) ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจแล้วส่งผลให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุหัวใจ โดยเฉพาะบริเวณลิ้นหัวใจ ซึ่งการอักเสบนี้จะทำให้การไหลเวียนของเลือดในห้องต่าง ๆ ของหัวใจผิดปกติ ซึ่งมีอาการโรคหัวใจสำคัญ คือ มีไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย หน้าซีด ซูบผอม หากอาการรุนแรงขึ้นอาจมีภาวะหัวใจวาย อัมพาตครึ่งซีก หรือไตวายร่วมด้วย
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคหัวใจ มีดังนี้
หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญที่เราจำเป็นต้องให้ความใส่ใจและให้การดูแล การตรวจหัวใจจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ดี ที่จะช่วยประเมินสุขภาพความแข็งแรงของหัวใจ รวมไปถึงตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับหัวใจของเรา โดยปกติแล้วโรคหัวใจมักมีอาการ หรือสัญญาณเตือนล่วงหน้า เช่น เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ เหนื่อยง่าย เป็นต้น แต่ในบางบุคคลก็อาจไม่มีสัญญาณเตือนเกิดขึ้นเลย ดังนั้นการเข้ารับการตรวจโรคหัวใจจะช่วยคัดกรองความเสี่ยงได้
กลุ่มคนที่ควรเข้ารับการตรวจโรคหัวใจมีดังนี้
การตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุโรคหัวใจเบื้องต้นจะเริ่มจากการซักประวัติ และตรวจร่างกายโดยละเอียดเพื่อช่วยให้ระบุได้ว่าเสี่ยงเป็นโรคหัวใจหรือไม่ นอกจากนี้แพทย์จะใช้การทดสอบสมรรถภาพของหัวใจด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อวินิจฉัยโรคหัวใจ ดังนี้
การตรวจเลือดเพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคหัวใจ (High-Sensitivity C-reactive protein: hs-CRP) เป็นการตรวจเพื่อบอกถึงค่าความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โดยการตรวจหาระดับโปรตีน C-reactive Protein ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ในเลือด หากเซลล์อักเสบอย่างต่อเนื่อง ระดับ CRP ก็จะสูงตาม ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
การตรวจคัดกรองโรคหัวใจด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG (Electrocardiogram) เป็นการตรวจเพื่อให้ทราบว่า การทำงานของหัวใจยังสม่ำเสมอหรือไม่ และสามารถตรวจหาความเสี่ยงต่อโรคที่มีผลกับการทำงานของหัวใจได้ เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตามการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG อาจไม่พบเจอโรคหากไม่มีอาการ อาจจะต้องพึ่งการตรวจด้วยรูปแบบอื่นร่วมด้วย เช่น การตรวจสุขภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (EST) เป็นต้น
การทดสอบสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST) คล้ายกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยจะใช้แผ่นตะกั่วชุดหนึ่งแปะติดกับหน้าอก และมีการบันทึกขณะที่ออกกำลังกาย เช่น การเดินบนสายพาน หรือขี่จักรยานอยู่กับที่ โดยการทดสอบนี้ใช้วัดค่าการตอบสนองของหัวใจ เช่น ความผิดปกติเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าในร่างกาย จำนวนเลือดที่ไหลไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจที่ตอบสนองต่อการออกกำลังกาย
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) เป็นวิธีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อจับภาพการเคลื่อนไหวของหัวใจ โดยจะศึกษาภาพเพื่อวัดและระบุถึงการทำงานและโครงสร้างของหัวใจ
การตรวจหัวใจด้วยการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Coronary CT Angiography หรือ CT Scan) เป็นวิธีการตรวจหัวใจเพื่อดูเส้นเลือดของหัวใจว่า หัวใจมีความผิดปกติอื่น ๆ ของหลอดเลือดหัวใจบ้างหรือไม่ หลอดเลือดหัวใจตีบ-ตันหรือไม่ รวมถึงใช้เพื่อติดตามผลการรักษาหลังการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย
การสวนหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Angiography: CAG) คือการฉีดสารทึบรังสีเพื่อ X-ray ดูช่องทางเดินของหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ หรือที่เรียกกันว่าฉีดสีหัวใจ การสวนหลอดเลือดหัวใจนี้จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินได้ว่า หลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบ-ตันหรือไม่ รวมถึงตรวจดูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ การเปิด-ปิดของลิ้นหัวใจ และสามารถวัดความดันภายในหัวใจและส่วนต่าง ๆ ของหัวใจได้ หากพบว่ามีหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน แพทย์สามารถรักษาด้วยการทำบอลลูนหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจได้ทันที
โรคหัวใจรักษาหายไหม? โรคหัวใจหากว่าตรวจคัดกรอง หรือตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ การรักษาจะได้ผลดีตามลำดับ การรักษาโรคหัวใจตามปกติแล้วจะรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ และรักษาตามอาการที่ผู้ป่วยเป็นขณะนั้น เช่น การผ่าตัดหัวใจ หรือทำหัตถการต่าง ๆ ร่วมกับการทานยารักษาโรคหัวใจ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะช่วยควบคุมปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ได้แก่
ยารักษาโรคหัวใจ (Cardiac medication) คือยาที่ใช้บรรเทาอาการต่าง ๆ ของโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หัวใจเต้นผิดปกติ ป้องกันการเกิดภาวะกล้ามเนื้อโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เป็นต้น เนื่องจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคไม่หายขาด จึงจำเป็นต้องรับประทานยารักษาโรคหัวใจอย่างสม่ำเสมอ
การผ่าตัดรักษาโรคหัวใจสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ ดังนี้
โดยทั่วไปหมายถึงการผ่าตัดโดยใช้เครื่องปอดหัวใจเทียมช่วยในการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดเบี่ยงทางเดินหลอดเลือดหัวใจ หรือการทำบายพาสหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting: CABG) สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ การผ่าตัดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีรูรั่วภายในหัวใจ ซึ่งวิธีการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดนี้จะมีแผลขนาดใหญ่ ถือว่าเป็นการผ่าตัดมาตรฐาน สามารถผ่าตัดโรคหัวใจได้ทุกชนิด แต่มีข้อจำกัดคือ อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังผ่าตัดได้ แต่ในปัจจุบันบางครั้งการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ หรือการทำบายพาสหัวใจไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปอดหัวใจเทียม ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงและเจ็บปวดน้อยน้อยลง รวมถึงแผลผ่าตัดก็เล็กลง
การผ่าตัดหัวใจแบบปิดคือ การผ่าตัดโดยที่ไม่เปิดหัวใจ แต่ยังต้องผ่าตัดเปิดหน้าอก ไม่ต้องใช้ปอดหัวใจเทียมช่วยระหว่างการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดหลอดเลือดที่ออกจากหัวใจโดยที่ไม่ได้เข้าไปผ่าตัดภายในหัวใจ
ข้อปฏิบัติตัวเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ มีดังนี้
แนวทางการป้องกันตนเอง และช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ มีดังต่อไปนี้
โรคหัวใจเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตของคนไทย แม้ว่าจะเป็นโรคที่รุนแรงและทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ แต่เราก็สามารถป้องกัน รวมถึงรักษาได้หากตรวจพบเจอตั้งแต่เนิ่น ๆ ดังนั้นจึงควรหมั่นดูแลสุขภาพกายและจิตใจของตนเองให้ดีอยู่เสมอ รวมถึงเข้ารับตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อคัดกรองความเสี่ยงโรคหัวใจ
ศูนย์โรคหัวใจโรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ ให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจในระดับมาตรฐานทัดเทียมต่างประเทศ ประกอบไปด้วยบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจ วินิจฉัย และผ่าตัด รวมทั้งให้การบำบัดและฟื้นฟูหัวใจครบทุกสาขา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ line@samitivejchinatown Tel: 02-118-7893 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
References
Felman A. (2021, July 21). Everything you need to know about heart disease. Medical News Today. https://www.medicalnewstoday.com/articles/237191
Heart disease. (n.d). Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/heart-disease/symptoms-causes/syc-20353118
Heart Disease: Types, Causes, and Symptoms. (2021, June 14). Web Md. https://www.webmd.com/heart-disease/heart-disease-types-causes-symptoms
เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ แสดงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเว็บไซต์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)